บรรยากาศแห่เทียนเข้าพรรษา

วันอาทิตย์ที่ 19 กันยายน พ.ศ. 2553

ยามหัศจรรย์

บัคกี้บอล…ยามหัศจรรย์แห่งยุคนาโน นาโนเทคโนโลยี บัคมินสเตอร์ฟูลเลอรีน(Buckminsterfullerene) หรือที่เรียกสั้นๆ ว่า บัคกี้บอล (Bucky ball) เป็นสารที่มีโครงสร้างโมเลกุลประกอบด้วยคาร์บอน 60 อะตอม (C60) เชื่อมต่อกันเป็นรูปทรงกลมคล้ายกับลูกฟุตบอล จัดเป็นสารในกลุ่มฟูลเลอรีนส์ (fullerenes, Cn) ซึ่งเป็นอัญรูป (allotrope) แบบที่สามของคาร์บอนต่อจากเพชรและกราไฟต์ บัคกี้บอลมีขนาดเส้นผ่านศูนย์กลางโมเลกุลประมาณ 1 นาโนเมตร ประกอบด้วยวงหกเหลี่ยมของคาร์บอน (hexagons) จำนวน 20 วง และวงห้าเหลี่ยม (pentagons) จำนวน 12 วง โดยที่บัคกี้บอลถือว่าเป็นโมเลกุลสารอินทรีย์ที่มีรูปทรงสมมาตรที่สุดเท่าที่มนุษย์เคยค้นพบจนถึงปัจจุบัน ในขณะนี้ นักวิทยาศาสตร์ทั่วโลกกำลังพากันค้นหาแนวทางในการนำเอาบัคกี้บอลมาใช้ประโยชน์ในด้านต่างๆ กันอย่างมากมาย ทั้งนี้เป็นเพราะว่าบัคกี้บอลมีคุณสมบัติเชิงฟิสิกส์และเคมีที่แปลกประหลาดหลายประการ ซึ่งสามารถนำมาประยุกต์ใช้เป็นยารักษาโรคได้หลายชนิด และใช้เป็นพาหนะนำส่งยาแบบนำวิถี (drug delivery) นอกจากนี้ยังสามารถนำบัคกี้บอลไปใช้ประโยชน์ในด้านนาโนอิเล็กทรอนิกส์ (nanoelectronic) ทั้งนี้เนื่องจากบัคกี้บอลมีคุณสมบัติเป็นสารกึ่งตัวนำ (semiconductor) แต่ถ้ามีการเจือกลุ่มโมเลกุลบัคกี้บอลด้วยอะตอมของโลหะอัลคาไลน์ จะทำให้กลุ่มโมเลกุลบัคกี้บอลมีคุณสมบัติเป็นตัวนำยิ่งยวด (superconductor) นอกจากนี้ยังมีการใช้บัคกี้บอลเป็นส่วนประกอบหลักในการพัฒนาเซลล์สุริยะแบบไดแอด (Dyads) รวมทั้งการใช้บัคกี้บอลเป็นตัวบรรจุอะตอมโลหะและโมเลกุลของก๊าซชนิดต่างๆ เช่น ไฮโดรเจน เป็นต้น หลังจากการค้นพบบัคกี้บอล นักวิทยาศาสตร์ทั่วโลกจำนวนมากต่างก็พากันศึกษาคุณสมบัติในด้านต่างๆ ของบัคกี้บอลกันอย่างมโหฬาร หนึ่งในนั้นก็คือการศึกษาสรรพคุณทางยาของบัคกี้บอล ซึ่งมีบริษัทประกอบธุรกิจเทคโนโลยีชีวภาพชื่อ ซี ซิกตี้ (C sixty Inc.) ของสหรัฐฯ เป็นแกนนำในการศึกษาทางด้านนี้ ผลจากการศึกษาที่ได้จนถึงปัจจุบันนี้ พอจะสรุปสรรพคุณทางยาของบัคกี้บอลได้ดังนี้

1. สรรพคุณในการเป็นยาต่อต้านไวรัส (Antivirals) ในปี ค.ศ. 1993 นักวิทยาศาสตร์พบว่าอนุพันธ์ของบัคกี้บอลชนิดหนึ่ง (MSAD-C60) มีฤทธิ์ในการยับยั้งการทำงานของเอนไซม์ โปรตีเอส (protease) ของไวรัสเอชไอวี (HIV) หรือ ไวรัสเอดส์ได้ และจากการตรวจสอบโดยละเอียดพบว่าอนุพันธ์ของบัคกี้บอลชนิดนี้จะมีครึ่งชีวิต (half-life) อยู่ในกระแสเลือด 6.8 ชั่วโมง โดยที่เมื่อเข้าไปในกระแสเลือดแล้วอนุพันธ์ชนิดนี้จะกระจายตัวเข้าไปจับกับโปรตีนในไซโตพลาสซึม และจากการนำเอาเทคนิคสร้างแบบจำลองโดยใช้คอมพิวเตอร์มาช่วยในการออกแบบยารักษาโรคเอดส์ ทำให้นักวิทยาศาสตร์สามารถสังเคราะห์อนุพันธ์ของบัคกี้บอลขึ้นมาใหม่อีกสองชนิดที่มีความเฉพาะเจาะจงในการจับกับบริเวณเร่งปฏิกิริยา (active site) ของเอนไซม์โปรตีเอสของไวรัสเอดส์ได้มากขึ้นเกือบ 50 เท่าตัว ในช่วงปลายปี ค.ศ. 1998 นักวิทยาศาสตร์ค้นพบว่าอนุพันธ์ของบัคกี้บอลบางชนิดสามารถทำลายเชื้อไวรัสได้โดยอาศัยปฏิกิริยาแบบใช้แสง(photodynamic reaction) ในการปลดปล่อยซิงเกล็ตออกซิเจน (singlet oxygen, 1O2) ออกมาเพื่อใช้ในการทำลายเปลือกหุ้ม (enveloped) ของไวรัส จากการทดลองเติมอนุพันธ์ของบัคกี้บอลลงในสารละลายบัฟเฟอร์ที่มีไวรัสเอสเอฟวี (Semliki Forest virus, SFV) หรือไวรัสวีเอสวี (vesicular stomatitis virus, VSV) แขวนลอยอยู่ และให้แสงในช่วงวิซิเบิล (visible light) เป็นวลา 5 ชั่วโมง พบว่าไวรัสเอสเอฟวีจะหมดสมรรถภาพในการก่อโรคโดยสิ้นเชิง นอกจากนี้นักวิทยาศาสตร์ชาวรัสเซียนยังพบว่าอนุพันธ์ของบัคกี้บอลอีกชนิดหนึ่งคือ ฟูลเลอโรไพโรลิโดน (fulleropyrrolidone) มีฤทธิ์ในการฆ่าเชื้อไวรัสโดยใช้ปฏิกิริยาที่เร่งด้วยแสงเช่นเดียวกัน สารต่อต้านไวรัสเอชไอวีที่เป็นอนุพันธ์ของบัคกี้บอล ชื่อ ซีเอสดีเอฟวัน (CSDF1) ของบริษัทซีซิกตี้ได้ถูกออกแบบให้สามารถยับยั้งการทำงานของเอนไซม์โปรตีเอสของไวรัสเอดส์ได้อย่างมีประสิทธิภาพ นอกจากนี้สารชนิดนี้ยังถูกสังเคราะห์ให้ละลายน้ำได้ดีมาก (200 กรัมต่อลิตร) และสามารถถูกขับออกจากร่างกายได้อย่างรวดเร็วโดยการปัสสาวะ ทำให้สารซีเอสดีเอฟวันมีความเป็นพิษกับเซลล์ร่างกายค่อนข้างต่ำกว่ายารักษาโรคเอดส์ที่ใช้กันในปัจจุบัน ซึ่งจากการทดสอบความเป็นพิษของสารชนิดนี้ในหนูทดลองพบว่ามีความเป็นพิษต่ำ (LD50 เท่ากับ 800 มิลลิกรัมต่อกิโลกรัม)

2. สรรพคุณในการเป็นสารต่อต้านเชื้อแบคทีเรีย (Antibacterials) คาร์บอกซีฟูลเลอรีน (carboxyfullerene) ซึ่งเป็นอนุพันธ์ของบัคกี้บอลที่ละลายน้ำได้ดี สามารถนำมาใช้รักษาหนูทดลองที่ป่วยเป็นโรคเยื่อหุ้มสมองอักเสบ (meningitis) ที่มีสาเหตุมาจากการติดเชื้อแบคทีเรีย E. coli ได้อย่างมีประสิทธิภาพ และจากการตรวจสอบโดยละเอียดพบว่าหนูที่ได้รับการรักษาโดยใช้สารคาร์บอกซีฟูลเลอรีนจะมีปริมาณของทีเอ็นเอฟ อัลฟา (tumor necrosis factor alpha, TNF-alpha) และปริมาณของอินเตอร์ลิวคิน-วัน เบต้า (interleukin-1beta, IL-1β) น้อยกว่าหนูที่ไม่ได้รับการรักษา นอกจากนี้สารคาร์บอกซีฟูลเลอรีนยังมีฤทธิ์ยับยั้งการเพิ่มอัตราการซึมผ่านของสารต่างๆ บริเวณทำนบกั้นระหว่างกระแสโลหิตและเซลล์สมอง (blood-brain barrier) ซึ่งมีสาเหตุมาจากความเป็นพิษของเชื้อ E. coli ได้ นอกจากนี้อนุพันธ์ของบัคกี้บอลอีกชนิดหนึ่งคือ ฟูลเลอรีนที่มีประจุบวกและละลายน้ำได้ มีฤทธิ์ในการยับยั้งการเจริญของเชื้อ Mycobacterium tuberculosis ซึ่งเป็นสาเหตุของวัณโรคได้ ส่วนคาร์บอกซีฟูลเลอรีนมีฤทธิ์ในการยับยั้งการเจริญของเชื้อ Streptococcus pyogenes จากการทดสอบในระดับหลอดทดลอง และเมื่อทดสอบการออกฤทธิ์ในหนูทดลองพบว่าคาร์บอกซีฟูลเลอรีนสามารถเพิ่มประสิทธิภาพของเซลล์เม็ดเลือดขาวชนิด นิวโทรฟิลส์ (neutrophils) ในการกำจัดเชื้อแบคทีเรียชนิดเดียวกันนี้ได้ และจากงานวิจัยเพิ่มเติมทำให้ทราบว่าการที่อนุพันธ์ของบัคกี้บอลสามารถยับยั้งแบคทีเรียแกรมบวก (Gram-positive bacteria) ได้นั้นเนื่องมาจากอนุพันธ์เหล่านี้สามารถแทรกตัวลงไปที่บริเวณผนังเซลล์ของแบคทีเรียซึ่งจะส่งผลให้ผนังเซลล์ของแบคทีเรียเสียสภาพและทำให้แบคทีเรียตายในที่สุด

3. สรรพคุณในการต่อต้านมะเร็งและเนื้องอก (Tumor/Anti-Cancer therapy) คุณสมบัติพิเศษอีกประการหนึ่งของบัคกี้บอลคือสารชนิดนี้สามารถถูกเร่งปฏิกิริยาด้วยแสง ซึ่งสามารถนำมาประยุกต์ให้ในการรักษาโรคมะเร็งและเนื้องอกแบบใช้แสง (photodynamic tumor therapy) ได้ อนุพันธ์ของบัคกี้บอลที่มีโมเลกุลเชื่อมติดกับพอลิเอทธิลีนไกลคอล (C60-polyethylene glycol) เมื่อถูกกระตุ้นด้วยแสงจะมีฤทธิ์ในการทำลายเซลล์มะเร็งได้โดยไม่มีผลข้างเคียงกับเซลล์ร่างกายที่ปกติ จากผลการทดลองพบว่าอนุพันธ์ชนิดนี้เข้มข้น 0.424 มิลลิกรัมต่อกิโลกรัม โดยให้พลังงานแสงเท่ากับ 1011 จูลต่อตารางเมตร จะสามารถกำจัดเซลล์มะเร็งให้ได้อย่างสมบูรณ์ จากการทดสอบในหลอดทดลองพบว่าฟูลเลอรีน-พอลิเอทธิลีนไกลคอล สามารถยับยั้งการเจริญของเซลล์เพาะเลี้ยงชนิดฮีลาเอสสาม (HeLa S3 cell lines) ซึ่งจัดว่าเป็นเซลล์มะเร็งชนิดหนึ่งได้ นอกจากนี้ยังมีรายงานว่าอนุพันธ์แบบฟูลเลอรีน-พอลิเอทธิลีนไกลคอลยังสามารถกำจัดเซลล์มะเร็งชนิดไฟโบรซาร์โคมา (fibrosarcoma tumors) ในหนูทดลองและที่เยื่อหุ้มเซลล์ของเม็ดเลือดแดงได้ พอลิไฮดรอกซีฟูลเลอลีน (C60(OH)24) เป็นอนุพันธ์ของบัคกี้บอลที่ละลายน้ำได้ดี และมีฤทธิ์ในการยับยั้งการเจริญของเซลล์มะเร็งโดย 1.) ยับยั้งการประกอบตัวของไมโครทิวบูล (microtubule) ของเซลล์มะเร็ง 2.) ยับยั้งการสร้างไมโตติกสปินเดิล (mitotic spindle) ของเซลล์มะเร็ง ซึ่งคล้ายกับการออกฤทธิ์ของยาแทกซอล (taxol) ที่ใช้รักษาโรคมะเร็งในปัจจุบันนี้ นอกจากนี้ยังมีการออกแบบวิธีการนำส่งยาต่อต้านมะเร็งที่เป็นอนุพันธ์ของบัคกี้บอลไปยังเซลล์มะเร็งแบบนำวิถี (anticancer delivery system) โดยการบรรจุอนุพันธ์ของบัคกี้บอลเอาไว้ภายในแคปซูลแบบไลโปโซม (liposome) โดยที่ทางบริษัทซี ซิกตี้ ซึ่งเป็นผู้ผลิตได้ตั้งชื่อทางการค้าว่า “บัคกี้โซมส์ (buckysomes)”

4. สรรพคุณในการเป็นสารต่อต้านการตายของเซลล์ (Anti-apoptosis agents) บัคกี้บอลมีคุณสมบัติในการสะเทินความเป็นพิษของอนุมูลอิสระและสามารถยับยั้งขั้นตอนการตายโดยอัตโนมัติ (apoptosis) ของเซลล์ได้เป็นอย่างดี จากการศึกษาโดยละเอียดพบว่า คาร์บอกซีฟูลเลอรีน ซึ่งเป็นอนุพันธ์ของบัคกี้บอล สามารถยับยั้งการตายของเซลล์ได้โดยการขัดขวางการส่งสัญญาณของ ทรานสฟอร์มมิ่ง โกรว์ท แฟคเตอร์-เบต้า (Transforming growth factor-beta, TGF-ß) ซึ่งเป็นตัวการในการชักนำให้เซลล์เข้าสู่ระยะการตายแบบอัตโนมัติ นอกจากนี้คาร์บอกซีฟูลเลอรีนยังสามารถป้องกันเซลล์ผิวหนังไม่ให้ถูกทำลายด้วยรังสียูวีบี(UVB) และจากสภาวะออกซิเดชันต่างๆ ได้เป็นอย่างดี โครงสร้างโมเลกุลของอนุพันธ์คาร์บอกซีฟูลเลอรีน (hexacarboxylic acid-C60) ซึ่งมีฤทธิ์ในยับยั้งการตายของเซลล์ Hep3B ได้โดยการขัดขวางการส่งสัญญาณของสาร TGF-ß ได้ แต่สิ่งที่น่าสนใจมากกว่า คือ การที่ค้นพบว่าอนุพันธ์ของบัคกี้บอล คือ ฟูลเลอรีนอล (fullerenol) และคาร์บอกซีฟูลเลอรีนสามารถยับยั้งการตายของเซลล์ประสาทที่สัมผัสกับสารพิษหลายชนิดที่นำมาทดสอบได้อย่างมีประสิทธิภาพ ทำให้นักวิทยาศาสตร์มีความหวังในการที่จะนำเอาอนุพันธ์ของบัคกี้บอลเหล่านี้ไปรักษาผู้ที่ป่วยด้วยโรคร้ายแรงที่เกี่ยวข้องกับระบบประสาทเช่น โรคอัลไซเมอร์ (Alzheimer’s disease) และโรค ALS หรือที่เรียกว่าโรค Lou Gehrig ต่อไปในอนาคต โดยที่บริษัทซีซิกตี้กำลังทดสอบการออกฤทธิ์ของอนุพันธ์ของบัคกี้บอลในการรักษาโรค ALS และโรคพาร์คินสัน (Parkinson’s disease) ในมนุษย์อยู่ในขณะนี้

5. สรรพคุณในการเป็นสารต่อต้านอนุมูลอิสระ (Antioxidants)

แตนเบียนกำจัดศัตรูพืช

จากกระแสความนิยมบริโภคผักผลไม้ปลอดสาร ส่งผลให้เกษตรกรชาวสวนหันมา “ชีววิถี” ซึ่งเป็นการใช้แมลงที่เป็นประโยชน์กำจัดแมลงศัตรูพืชกันมากขึ้น และหนึ่งในแมลงที่เป็นประโยชน์คอยทำหน้าที่กำจัดศัตรูพืชสวนผลไม้ คือ “แตนเบียน”

...แตนเบียน จัดเป็นแมลงในกลุ่มเดียวกับ ผึ้ง ต่อ แตน ด้วยลักษณะการดำรงชีวิต จะไม่ทำอันตราย ต่อคน แต่กลับเป็นเพชฌฆาตที่ร้ายกาจของแมลงศัตรูพืช ด้วยการวางไข่ทิ้ง และอาศัยน้ำเลี้ยงภายในตัวแมลง เป็นอาหารสำหรับการเจริญเติบโต กระทั่งแมลงศัตรูพืชตายในที่สุด

“เจ้าเพชฌฆาต” ดังกล่าว ในบ้านเรานั้นมีอยู่ หลากหลายแต่ละชนิดมีความสามารถกำจัดต่างชนิดกัน โดย ผู้ทำหน้าที่กำจัดจะเป็นเพศเมีย เพราะมี อาวุธร้ายกาจ คือ “อวัยวะวางไข่” ซึ่งมีลักษณะ เรียวยาว ปลายแหลม คล้ายฉมวกขนาดจิ๋ว สำหรับแทงและวางไข่ในตัวหนอนแมลงวันผลไม้ วิธีการค้นหาเป้าหมาย เพื่อวางไข่แพร่พันธุ์ได้ด้วยการ “รับกลิ่น” จากสารเคมีจากปฏิกิริยาการสุกเน่าของผลไม้ รวมทั้งเสียงสั่นจากการเคลื่อนไหวของแมลงศัตรูพืช

“ผู้พิฆาตสาว” แต่ละตัว สามารถวางไข่ได้ตลอดชีวิต คิดเฉลี่ยอัตราประมาณ 100 ฟอง และนี่เองมันจึงถูกจัดอันดับให้เป็น “ผู้ควบคุม” ที่เจ๋งสุดในอันดับต้นๆ ถึง แม้จะถูกหมางเมินจากตัวผู้ สาวเจ้ากลับมีความพิเศษคือ สามารถวางไข่และฟักเป็นตัวอ่อนได้ เพียงแต่สมาชิกใหม่ เป็นตัวผู้ล้วนๆ

ส่วนตัวไหน ธรรมชาติการมีคู่เรียกร้อง เป็นผลสำเร็จ ไข่ที่วางและฟักออกมาถึงจะเป็นแตนเบียนเพศเมีย เหล่านี้จึงส่งผลให้เกิดปัญหาคือ จำนวนตัวอ่อนที่เกิดขึ้นเป็นเพศผู้เสียส่วนใหญ่ เนื่องจากแตนเบียนเพศเมียจะมุ่ง “วางไข่มากกว่าการผสมพันธุ์”

รศ.ดร.สังวรณ์ กิจทวี คณะวิทยาศาสตร์ มหาวิทยาลัยมหิดล จึงศึกษาพฤติกรรมปัจจัยการแพร่พันธุ์ “แตนเบียน” เพศเมีย เพื่อช่วยเพิ่มประสิทธิภาพในการควบคุมแมลงวันผลไม้ ใน โครงการพัฒนาองค์ความรู้และศึกษานโยบายการจัดการทรัพยากรชีวภาพในประเทศไทย (โครงการ BRT) ภายใต้การสนับสนุนของสำนักงานกองทุนสนับสนุนการวิจัย (สกว.) และศูนย์พันธุ วิศวกรรมและเทคโนโลยีชีวภาพแห่งประเทศไทย (BIOTEC) และได้เลือกศึกษาแตนเบียน สายพันธุ์ Diachasmimorpha longi caudata (Ashmead) ซึ่งวางไข่เฉพาะในแมลงวันผลไม้

รศ.ดร.สังวรณ์ บอกกับ “หลายชีวิต” ว่า การใช้แตนเบียนในการควบคุมแมลงศัตรูพืชอย่างมีประสิทธิภาพ ควรเพาะเลี้ยงให้ได้เพศเมียมากกว่าเพศผู้ เพื่อควบคุมแมลงได้อย่างกว้างขวางมากขึ้น การควบคุมระบบสืบพันธุ์จึงต้องให้ไข่ได้รับการผสม หรือได้รับการปฏิสนธิ (fertilized egg)

...ที่ต้อง อาศัยปัจจัยที่เกี่ยวข้องกับการสื่อสารด้วยเสียง (การขยับปีกของเพศผู้) และกลิ่น (pheromone) ซึ่งมีผลให้เพศเมียยอมรับการผสมพันธุ์ อันเป็นการเพิ่มโอกาสให้ตัวอสุจิผสมกับไข่ได้มากยิ่งขึ้น แตนเบียนเพศเมียจะเลือกวางไข่ที่ได้รับการผสมลงในตัวอ่อนแมลงวันผลไม้ที่มีขนาดใหญ่หรือสมบูรณ์ และมักจะเลือกวางไข่ที่ไม่ได้รับการผสมในแมลงวันผลไม้ขนาดเล็ก

“ไข่” ที่ได้รับการผสมนอกจากจะผลิตตัวอ่อนเพศเมียที่มีประสิทธิภาพในการกำจัดแมลงวันผลไม้ในรุ่นต่อไปแล้ว ยังสามารถกำจัดแมลงวันผลไม้ที่มีความสมบูรณ์และมีความสามารถในการทำลายผลไม้ได้มากได้ดีกว่าอีกด้วย.

การอ่นหนังสือของคนไทย

การศึกษาการอ่านหนังสือของคนไทยมีวัตถุประสงค์เพื่อนำเสนอพฤติกรรมการอ่านหนังสือของประชากรในแต่ละวัยคือ วัยเด็ก (อายุ 6-14 ปี) วัยรุ่น (อายุ 15-24 ปี)วัยทำงาน(อายุ 25-59 ปี)และผู้สูงอายุ(อายุ 60 ปีขึ้นไป)โดยใช้ข้อมูลจากการสำรวจพฤติกรรมการอ่านหนังสือของประชากรปี พ.ศ.2546 และครั้งล่าสุดเมื่อปี 2548 ที่จัดทำโดยสำนักงานสถิติแห่งชาติ ซึ่งเป็นการสำรวจประชากรที่มีอายุตั้งแต่ 6 ปีขึ้นไป สรุปประเด็นที่สำคัญดังนี้


การอ่านหนังสือของคนไทย หมายถึง การอ่านหนังสือทุกประเภทรวมทั้งตำราเรียน ตลอดจนการอ่านจากอินเทอร์เน็ต ผลจากการสำรวจพฤติกรรมการอ่านหนังสือของประชากรปี 2546 และ 2548 พบว่าประชาชนมีแนวโน้มอ่านหนังสือเพิ่มขึ้นจากร้อยละ 61.2 ในปี 2546 เพิ่มขึ้นเป็นร้อยละ 69.1 ในปี 2548 แม้ชายจะมีการอ่านหนังสือมากกว่าหญิง แต่หญิงมีอัตราการเพิ่มของการอ่านหนังสือมากกว่าชาย

ประชากรในเขตเทศบาลมีการอ่านหนังสือมากกว่าประชากรที่อยู่นอกเขตเทศบาลทั้งนี้เนื่องจากมีแหล่งบริการ ร้านจำหน่าย และร้านให้เช่าหนังสืออยู่มากกว่า เมื่อจำแนกการอ่านหนังสือของประชากรตามวัยต่างๆพบว่า ในปี 2548 วัยเด็กมีการอ่านหนังสือมากที่สุด คือร้อยละ 87.7 รองลงมาคือ วันรุ่น(ร้อยละ 83.1)วัยทำงาน (ร้อยละ 65.0)และผู้สูงอายุ(ร้อยละ 37.4)

ประเภทหนังสือที่อ่าน หนังสือพิมพ์เป็นหนังสือที่มีคนอ่านมากที่สุด โดยในปี2548 มีผู้อ่านหนังสือพิมพ์เพิ่มขึ้นจากปี 2546 คิดเป็นร้อยละ 27.6 การอ่านหนังสือประเภทตำราเรียนตามหลักสูตรมีการอ่านลดลง จากร้อยละ 40.0 ในปี 2546 เหลือเพียงร้อยละ 34.4 ในปี 2548 นอกจากนี้หนังสือประเภทนิตยสาร วารสาร/เอกสารที่ออกเป็นประจำ ตำรา/หนังสือเกี่ยวกับความรู้ก็ยังมีการอ่านลดลงเช่นกัน

วัยเด็ก อ่านหนังสือประเภทตำราเรียนตามหลักสูตรมากที่สุด เนื่องจากยังอยู่ในวัยของการศึกษาภาคบังคับ รองลงมาคือนวนิยาย/การ์ตูน/หนังสืออ่านเล่น และตำรา/หนังสือเกี่ยวกับความรู้ วัยรุ่น อ่านหนังสือพิมพ์มากที่สุดถึงร้อยละ 68.9 ในปี 2546 เพิ่มขึ้นเป็นร้อยละ 77.5 ในปี 2548 หนังสือพิมพ์เป็นหนังสือที่วัยทำงานอ่านมากที่สุด คือ มากกว่าร้อยละ 85 ทั้งในปี 2546 และ 2548 หนังสือพิมพ์เป็นหนังสือที่ผู้สูงอายุนิยมอ่านมากที่สุดเช่นเดียวกัน นอกจากนี้ผู้สูงอายุยังมีความสนใจในการอ่านจากอินเทอร์เน็ตเพิ่มมากขึ้นจากร้อยละ 0.3 ในปี 2546 เป็นร้อยละ 1.7 ในปี 2548

สาเหตุที่ไม่อ่านหนังสือของคนไทย จากการสำรวจฯพบว่า ผู้ไม่อ่านหนังสือมีแนวโน้มลดลงจากร้อยละ 38.8 ในปี 2546 เหลือร้อยละ 30.9 ในปี 2548 สาเหตุหลักของการไม่อ่านหนังสือของคนไทยในทุกวัยคือ การชอบฟังวิทยุ/ดูทีวี มากกว่าการอ่าน การชอบฟังวิทยุ/ดูทีวีเป็นสาเหตุหลักที่ทำให้วัยเด็กไม่อ่านหนังสือ รองลงมาคือไม่ชอบอ่านหรือไม่สนใจอ่าน และอ่านหนังสือไม่ออก

การส่งเสริมให้อ่านหนังสือ จากการสำรวจฯ ในปี 2548 เกี่ยวกับความคิดเห็นในการส่งเสริมเพื่อจูงใจให้ประชากรรักการอ่านหนังสือ พบว่าประชากรร้อยละ 31.6 เห็นว่าหนังสือควรมีราคาถูกลง และควรมีห้องสมุดประจำหมู่บ้าน/ชุมชน ถือได้ว่าเป็นการสร้างโอกาสในการอ่านให้กับประชาชนที่อาศัยอยู่ในหมู่บ้าน/ชุมชนมากยิ่งขึ้น การเลือกหนังสือที่เหมาะกับสภาพท้องถิ่นนั้นๆจะเป็นกลยุทธ์อีกอย่างหนึ่งที่ทำให้ประชาชนสนใจอ่านหนังสือ รองลงมาคือหนังสือควรมีเนื้อหาสาระน่าสนใจ(ร้อยละ 23.7)และควรส่งเสริมให้พ่อแม่ปลูกฝังให้เด็กรักการอ่าน(ร้อยละ 20.5)

สรุป จากการสำรวจพฤติกรรมการอ่านหนังสือของประชากร พบว่าประชากรมีแนวโน้มอ่านหนังสือเพิ่มขึ้น คือจากร้อยละ 61.2 ในปี 2546 เพิ่มขึ้นเป็นร้อยละ 69.1 ในปี 2548 วัยเด็กมีการอ่านหนังสือมากที่สุด คิดเป็นร้อยละ 87.7 รองลงมาคือวัยรุ่น(ร้อยละ 83.1)วัยทำงาน(ร้อยละ 65.0)และผู้สูงอายุ (ร้อยละ 37.4)การไม่อ่านหนังสือของประชากรมีแนวโน้มลดลงจากร้อยละ 38.8 ในปี 2546เหลือร้อยละ 30.9 ในปี 2548 ทั้งนี้สาเหตุของการไม่อ่านหนังสือของประชากรมาจากการชอบฟังวิทยุ/ดูทีวีมากกว่าการอ่าน

การอ่านหนังสือนับเป็นปัจจัยและมูลเหตุสำคัญที่ทำให้เกิดองค์ความรู้ การรับรู้ข่าวสารต่างๆที่ทันต่อเหตุการณ์ ซึ่งสามารถนำมาปรับใช้กับการดำรงชีวิต และการพัฒนาคุณภาพชีวิตให้ดีขึ้น ดังนั้นหน่วยงานต่างๆทั้งภาครัฐและเอกชนควรจะช่วยสนับสนุนให้ประชาชนรักการอ่านเพิ่มมากขึ้น

อาหารบำรุงสมอง

สมองมนุษย์เป็นสิ่งมหัศจรรย์ที่ธรรมชาติสร้างให้กับเราทุกคน สมองเป็นศูนย์สั่งการทุกอย่างของร่างกายและจิตใจ ซึ่งความสามารถของสมองแต่ละคนจะไม่เท่ากัน ขึ้นอยู่กับ 3 ปัจจัยคือ ความสมบูรณ์ของสมอง กรรมพันธุ์ และการฝึกฝนความสมบูรณ์ของสมองเริ่มตั้งแต่เป็นทารกในครรภ์ และพัฒนาขึ้นจนเติบใหญ่ ซึ่งอาหารที่รับประทานเข้าไปจะมีผลอย่างมากต่อการเจริญเติบโตและพัฒนาของสมอง เมื่อเราอายุมากขึ้น อัตราการแบ่งตัวของเซลล์จะเริ่มลดลง ซึ่งรวมถึงเซลล์ประสาทด้วย การสร้างสารสื่อประสาทต่าง ๆ ก็จะลดลง ทำให้ผู้สูงอายุมักจะมีปัญหาเรื่องความจำเสื่อมหลงลืมได้ง่าย ส่วนอวัยวะและกล้ามเนื้อต่าง ๆ ย่อมเสื่อมลงเมื่ออายุมากขึ้น ซึ่งรวมถึงระบบการย่อยอาหาร ตัวอย่างเช่น การหลั่งเอนไซม์ที่ใช้ย่อยอาหารจะลดลงเมื่ออายุเพิ่มมากขึ้น อันอาจจะทำให้กาดูดซึมสารอาหารบางตัว เช่น ธาตุเหล็ก หรือวิตามินบี 12 ลดน้อยลง นอกจากนี้การรับรสของผู้สูงอายุจะเปลี่ยนไป รวมถึงฟันที่เสื่อมลงจะทำให้ผู้สูงอายุรู้สึกเบื่ออาหารและรับประทานอาหารน้อยลง ส่งผลให้ผู้สูงอายุมักจะขาดสารอาหารที่จำเป็นในร่างกายได้สารอาหารที่รับประทานเข้าไปจะมีผลต่อการทำงานของสมอง ตัวอย่างเช่น กรดไขมันจะถูกใช้ในการสร้างเซลล์ประสาทที่ช่วยในการรับรู้ กรดอะมิโนจากโปรตีนจะถูกใช้ในการสร้างสารสื่อประสาทที่ทำหน้าที่ในการถ่ายทอดข้อมูลระหว่างเซลล์ประสาทแต่ละเซลล์ กลูโคสจากอาหารกลุ่มคาร์โบไฮเดรตจะเป็นเชื้อเพลิงให้แก่สมองในการสร้างพลังงาน ส่วนสารต้านอนุมูลอิสระ (Antioxidants) ที่ได้จากผักและผลไม้ จะช่วยป้องกันเซลล์สมองจากการถูกทำลายได้ ตัวอย่างวิตามินและสารอาหารที่มีความสำคัญต่อสมอง ได้แก่ วิตามินบี 1 (Thiamine) มีความสำคัญต่อเซลล์สมองในการเผาผลาญคาร์โบไฮเดรตเพื่อให้ได้พลังงาน
วิตามินบี 5 (Pantothenic acid) เป็นโคเอนไซม์ที่ช่วยในการทำงานของสารสื่อประสาท
วิตามินบี 6 (Pyridoxine) มีความสำคัญต่อการทำงานของระบบประสาท ช่วยในการสร้างสารเซโรโตนิน (Serotonin) ที่ช่วยทำให้อารมณ์ดี ความจำดี
วิตามินบี 12 และโพลิคแอซิดมีความสำคัญต่อการทำงานของสารสื่อประสาท ซึ่งจากงานวิจัยในวารสารทางโภชนาการระบุว่าการได้รับวิตามินบี 12 และโฟลิคแอซิดอย่างเพียงพอ จะช่วยลดอาการความจำเสื่อมได้วิตามินซี ช่วยการในดูดซึมธาตุเหล็ก การขาดวิตามินซีจะทำให้อ่อนเพลียและเกิดอาการซึมเศร้าได้แคลเซียมและแมกนีเซียม มีความจำเป็นต่อระบบประสาทส่วนกลาง ซึ่งต้องทำงานคู่กันจึงจะได้ผลดีที่สุดเซเลเนียม (Selenium) เป็นสารต้านอนุมูลอิสระ ช่วยทำให้อารมณ์ดีขึ้นกรดไขมัน DHA จากการวิจัยทางยุโรปพบว่า การรับประทานปลามาก ๆ ซึ่งอุดมไปด้วยกรดไขมัน DHA จะช่วยป้องกันอาการหลงลืมได้ นอกจากนี้จากงานวิจัยหลายแห่งชี้ให้เห็นว่า ผู้สูงอายุส่วนใหญ่มักจะมีปัญหาขาดสารอาหาร ทั้งนี้เนื่องจากปัญหาในการรับประทานอาหาร เช่น การเคี้ยว เบื่ออาหาร ทำให้การแนะนำว่าผู้สูงอายุควรได้รับวิตามินหรืออาหารเสริมเพิ่มเติมเพื่อช่วยชะลอภาวะเสื่อมของสมอง แต่ขึ้นอยู่กับสุขภาพของแต่ละคนด้วย เช่น โรคประจำตัว ดังนั้นควรปรึกษาแพทย์หรือผู้เชี่ยวชาญ ก่อนเริ่มรับประทานวิตามินหรืออาหารเสริม

เห็ด.......อาหารมหัศจรรย์

ว่าเห็ดเป็นอาหารมหัศจรรย์นั้น จากฤดูการเกิดก็ไม่เหมือนกับพืชผักชนิดอื่นๆ ใช้เวลาเพาะเพียงสั้นๆ แต่ได้จำนวนมากมายดาษดื่น ถึงเวลางอกงามแต่ละทีก็ผุดขึ้นราวกับตั้งนาฬิกาปลุกธรรมชาติ พอใกล้เวลาก็มุดหายลงดิน เก็บตัวเงียบรอเวลาอีกครั้ง คนเก็บจะต้องมีความชำนาญ รู้ลักษณะ รู้ชนิด รู้ต้นตอแหล่งกำเนิด เพราะเห็ดบางชนิดเห็นหน้าตาสวยงาม อาจกลายเป็นเห็ดมีพิษ ใครไม่รู้จริงเผลอนำไปรับประทานเป็นได้เดือดร้อนกันแน่ปัจจุบันเห็ดที่เรานิยมรับประทานกันมีอยู่มากมายหลายชนิด มีทั้งแบบสด บรรจุกระป๋อง หรือแม้แต่เห็ดตากแห้ง ความนิยมในการรับประทานมีมากขึ้นเรื่อยๆ ด้วยรูปแบบ และรสชาติเฉพาะตัวที่แตกต่างจากอาหารประเภทพืชผักด้วยกัน รวมทั้งการที่คนหันมานิยมรับประทานอาหารแบบมังสวิรัติกันมากขึ้นก็ทำให้เห็ดถูกนำมาใช้ปรุงอาหารแทนเนื้อสัตว์มากขึ้นตามไปด้วย มีงานวิจัยหลายชิ้นที่ยืนยันว่าเห็ดมีคุณสมบัติป้องกันโรคได้ในประเทศจีน และญี่ปุ่น นิยมนำเห็ดมาปรุงเป็นน้ำแกง น้ำชา ยาบำรุงร่างกาย และยารักษาโรคต่างๆ มีการทำวิจัยเกี่ยวกับเห็ดมากว่า 30 ปียืนยันว่าในเห็ดมีสารบางอย่างที่ช่วยกระตุ้นการทำงานของระบบภูมิคุ้มกัน และลดความเสี่ยงต่อโรคหลอดเลือดหัวใจ และช่วยในการต้านมะเร็งหลายๆ ชนิดด้วย ในสหรัฐอเมริกาก็มีการทำวิจัยเกี่ยวกับเห็ดเช่นกันได้ผลออกมายืนยันการค้นพบแบบเดียวกับชาวเอเชีย แต่สำหรับการวิจัยถึงผลการใช้เห็ดเป็นยารักษาโรคนั้นยังคงอยู่ในขั้นแรกๆ เท่านั้นเห็ดที่นักวิทยาศาสตร์นิยมเอามาวิเคราะห์เพื่อการวิจัยนั้นส่วนใหญ่เป็นเห็ดชนิดที่คนมักนำมาปรุงอาหาร และหาได้ง่าย เช่น เห็ดเข็มทอง เห็ดหอม เห็ดกระดุมหรือแชมปิญอง เห็ดนางรม เห็ดนางฟ้า เห็ดฟาง เห็ดโคน เห็ดหูหนู หรือ เห็ดหลินจือ อย่างเมื่อเร็วๆ นี้ มีผลการศึกษาในสหรัฐอเมริกาพบว่าเห็ดแชมปิญอง (White mushroom) มีบทบาทช่วยในการรักษาและป้องกันการเกิดมะเร็งเต้านมมากที่สุด เมื่อเทียบกับเห็ดรับประทานได้ชนิดอื่นๆ โดยสารบางอย่างในเห็ดชนิดนี้ไปช่วยยับยั้งเอ็นไซม์ aromatase ทำให้เกิดการยับยั้งการแปรฮอร์โมนแอนโดรเจนให้กลายเป็นเอสโตรเจนในผู้หญิงวัยหมด ประจำเดือน เมื่อร่างกายผลิตฮอร์โมนเอสโตรเจนได้น้อยลง ก็ลดโอกาสการเจริญเติบโตของเซลล์มะเร็งเต้านมให้น้อยลงตามไปด้วยที่ประเทศญี่ปุ่น ได้มีการทดลองนำเห็ดหอมมาสกัด พบว่าในเห็ดหอม ให้น้ำตาลโมเลกุลขนาดใหญ่ (mega-sugar) ที่เรียกว่า เบต้ากลูแคนส์ (beta-glucans) ถึง 2 ชนิด ได้แก่ lentinan และ LEM (Lentinula edodes mycelium) ซึ่งช่วยทำหน้าที่กระตุ้นระบบภูมิคุ้มกันต่อสู้กับการติดเชื้อ และชะลอการแพร่กระจายของเซลล์มะเร็ง ซึ่งในการทดลองให้สาร lentinan กับผู้ป่วยมะเร็งร่วมกับการทำเคมีบำบัดก็พบว่าก้อนมะเร็งมีขนาดลดลง และอาการข้างเคียงจากการทำเคมีบำบัดก็เกิดขึ้นน้อยลงด้วย ขณะนี้ทีมวิจัยในญี่ปุ่นกำลังมองหาความเป็นไปได้ในการใช้ LEM ที่ได้จากเห็ดหอมมาบำบัดผู้ป่วยที่ติดเชื้อ HIV และยังพบอีกว่า สารสกัดจากเห็ดหอมอีกตัวหนึ่ง ชื่อ eritadenine เป็นตัวช่วยลดปริมาณไขมันในเลือดและระดับโคเลสเตอรอลให้กับร่างกายได้อีกด้วย หลากหลายพันธุ์เห็ดรสอร่อย เห็ดนำมาปรุงอาหารให้อร่อยได้หลากหลายวิธี ทั้งต้มน้ำแกง ผัด ยำ ย่าง หรือทอด ที่เห็นมากในบ้านเรา ได้แก่ เห็ดหอม มีทั้งแบบเนื้อบางและหนา คนนิยมนำเห็ดหอมตากแห้งมาปรุงอาหารเพราะให้กลิ่นหอมมากกว่าแบบสด ซึ่งก่อนปรุงต้องลวกในน้ำเดือดประมาณครึ่งชั่วโมง หรือแช่น้ำอุ่นประมาณ 2-3 ชั่วโมง หรือข้ามคืน ช่วยให้เนื้อเห็ดนุ่มขึ้น น้ำแช่เห็ดหอมนี้ยังเก็บเอาไปทำเป็นน้ำสต๊อกปรุงรสอาหารได้ด้วย คนนิยมนำมาปรุงอาหารเจ เพราะเนื้อนุ่มเหนียวและกลิ่นหอมชวนกิน ชาวจีนยกให้เห็ดหอมเป็นอาหารตำรับ “อมตะ” เพราะคุณสมบัติความเป็นยาบำรุงกำลัง และบรรเทาอาการไข้หวัด การไหลเวียนเลือดไม่ดี ปวดกระเพาะอาหาร รวมทั้งอาการเหนื่อยอ่อนเพลีย ซึ่งเห็ดหอมนี้จะให้โปรตีนได้มากกว่าเห็ดแชมปิญองถึง 2 เท่าเลยทีเดียว นอกจากนี้ยังอุดมด้วยวิตามินเอ วิตามินบี ซีลีเนียม และธาตุอื่นๆ ที่มีประโยชน์ต่อร่างกายมากมาย ช่วยบำรุงกระดูกแข็งแรง ลดไขมันในเลือด และต้านโคเลสเตอรอล เห็ดหูหนูดำนอกจากเห็ดหูหนูดำแล้วยังมีเห็ดหูหนูขาว เนื้อกรุบกรอบคล้ายๆ กัน แถมยังมีสีขาวน่ารับประทานมากกว่า ตามร้านเย็นตาโฟนิยมนำมาใช้แทนแมงกะพรุน หรือต้มเป็นสุกี้หรือทำยำรวมมิตรก็อร่อยไม่น้อยเห็ดนางรม เห็ดนางฟ้า และเห็ดเป๋าฮื้อ เห็ดสามอย่างนี้อยู่ในตระกูลเดียวกัน เจริญเติบโตเป็นช่อๆ คล้ายพัด เห็ดนางรมมีสีขาวอมเทา เห็ดนางฟ้าจะมีสีขาวอมน้ำตาล ขณะที่เห็ดเป๋าฮื้อจะมีสีคล้ำและเนื้อเหนียวหนา และนุ่มอร่อยคล้ายเนื้อสัตว์มากกว่า จึงมักถูกจัดเป็นอาหารจานหรูเมนูจักรพรรดิ์ ซึ่งเชื่อกันว่าสามารถป้องกันโรคหวัด ช่วยการไหลเวียนเลือด และโรคกระเพาะอาหาร เห็ดนางฟ้าและเห็ดนางรมผิวเรียบนุ่ม รสชาติก็นุ่ม นำมาปรุงได้หลายแบบทั้งผัด ชุบแป้งทอด หรือแม้แต่ย่างก็ให้รสชาติดี แต่ไม่ควรใช้ไฟแรงเพราะจะทำให้เนื้อสัมผัสหมดไป เห็ดฟาง เป็นเห็ดยอดนิยมของคนไทย นิยมเพาะกันบนกองฟางข้าวชื้นๆ โคนมีสีขาว ส่วนหมวกสีน้ำตาลอมเทา หาซื้อได้ง่ายตามท้องตลาดตลอดทั้งปี ให้วิตามินซีสูง และมีกรดอะมิโนสำคัญอยู่หลายชนิด เชื่อว่าหากรับประทานประจำจะช่วยเสริมภูมิคุ้มกันลดการติดเชื้อต่างๆ แต่ก็ไม่ควรรับประทานสด ๆ เพราะมีสารที่คอยยับยั้งการดูดซึมอาหาร ช่วยป้องกันโรคเลือดออกตามไรฟัน โรคเหงือก และลดอาการผื่นคันต่าง ๆ เห็ดหลินจือ นอกจากใช้รับประทานแล้ว ปัจจุบันยังมีการนำไปเป็นส่วนผสมของเครื่องสำอางอีกด้วย เพราะมีคุณสมบัติช่วยต้านอนุมูลอิสระ ยับยั้งการเจริญเติบโตของเนื้อร้าย และกระตุ้นภูมิคุ้มกันไวรัส แถมยังมีฤทธิ์แก้อักเสบ ลดความดันเลือด แก้ปวดศีรษะ รวมทั้งลดไขมันในเส้นเลือดด้วย เห็ดเข็มทอง เป็นเห็ดสีขาวหัวเล็กๆ ขึ้นติดกันเป็นแพ รสชาติเหนียวนุ่ม นำมารับประทานแบบสดๆ ใส่กับสลัดผักก็ได้ ถ้าชอบสุกก็นำไปย่าง ผัดหรือลวกแบบสุกี้ เห็ดกระดุม หรือเห็ดแชมปิญอง รูปร่างกลมมน ผิวเนื้อนุ่มนวล มีให้เลือกทั้งแบบสด หรือบรรจุกระป๋องนานาสารอาหารจากเห็ดเห็ดเป็นอาหารที่ปราศจากไขมัน มีปริมาณน้ำตาล และเกลือต่ำมาก แถมยังเป็นแหล่งโปรตีนคุณภาพสูงเมื่อเทียบกับโปรตีนที่ได้จากเนื้อสัตว์ มีธาตุเหล็ก แคลเซียม ฟอสฟอรัส วิตามินซี วิตามินบีรวม ซีลีเนียม โปแตสเซียม และทองแดง จึงเป็นอาหารที่มีคุณค่าสูงที่ควรเลือกรับประทานเป็นประจำ ซีลีเนียม เป็นสารอาหารที่ช่วยต้านการเกิดอนุมูลอิสระใกล้เคียงกับวิตามินอี ซึ่งช่วยลดความเสี่ยงต่อการเกิดมะเร็งและโรคภัยต่างๆ ที่มากับวัยสูงอายุ เช่น โรคหลอดเลือดหัวใจ การรับประทานเห็ดหอม (ชิ้นขนาดกลางๆ 5 ชิ้น) จะให้ซีลีเนียมประมาณ 1 ใน 3 ของปริมาณที่ร่างกายควรได้รับต่อวัน นอกจากในเห็ดแล้ว ยังมีอยู่ในธัญพืช และเนื้อสัตว์ด้วย โปแตสเซียมเป็นสารอาหารที่จำเป็นอย่างยิ่งในการควบคุมจังหวะการเต้นของหัวใจ ความสมดุลของน้ำในร่างกาย การทำงานของกล้ามเนื้อ และระบบประสาทต่างๆ ทาง FDA ของสหรัฐอเมริการะบุไว้ว่าการรับประทานอาหารที่เป็นแหล่งของโปแตสเซียมจะช่วยลดความเสี่ยงในการเกิดความดันเลือดสูง และอัมพฤกษ์ อัมพาต ซึ่งในเห็ดนั้นมีโปแตสเซียมสูง และโซเดียมต่ำ การรับประทานอาหารที่ปรุงจากเห็ดกระดุมหรือเห็ดแชมปิญอง 1 จานจะให้โปแตสเซียมได้พอๆ กับส้มหรือมะเขือเทศลูกโตๆ เลยทีเดียว วิตามินบีรวม ในเห็ดขึ้นชื่อว่าเป็นอาหารที่อุดมด้วยวิตามินบีรวม ไม่ว่าจะเป็น ไรโบฟลาวิน (ที่นอกจากจะได้จากเห็ดแล้ว ยังมีมากในเครื่องในสัตว์ นม ไข่ และเต้าหู้) ช่วยบำรุงสุขภาพผิวพรรณและการมองเห็น ขณะที่ไนอาซิน (ยังพบมากในปลาทูน่า เนื้อแดง ถั่วลิสง และอะโวคาโด) จะช่วยควบคุมการทำงานของระบบย่อยอาหาร และระบบประสาท สถาบันอาหารแห่งสหรัฐอเมริกาได้ประมาณไว้ว่า การรับประทานเห็ดแชมปิญองขนาดกลางๆ 5 ชิ้น จะได้ปริมาณไรโบฟลาวินมากพอๆ กับการดื่มนมสดถึง 8 ออนซ์ ทองแดง เป็นสารอาหารที่ร่างกายต้องการเช่นเดียวกันเพื่อมาช่วยเสริมการทำงานของธาตุเหล็ก เห็ดโคลน เป็นเห็ดหายาก รสอร่อย ที่จะมีให้รับประทานเฉพาะในหน้าฝน บางคนจึงนิยมนำมาทำเป็นเห็ดดองเพื่อเก็บไว้รับประทานตลอดปี

มีอะไรในน้ำแร่

อาหารการกินของเราก็ได้มีการเปลี่ยนไป กินของที่ดูแปลกแตกต่าง อาหารที่จะกล่าวถึงนี้คือ น้ำแร่ อันว่าน้ำแร่นั้นโปรดอย่าเข้าใจผิดว่าหมายถึงที่ชาวเหมืองแร่นิยมดื่มกัน ชาวเมืองนั้นนิยมกินน้ำมังสวิรัติมากกว่า นัยว่าเพื่อใช้เป็นยาฆ่าเชื้อในกระเพาะอาหาร ในคำนิยามของสำนักงานคณะกรรมการอาหารและยา ได้กำหนดคำนิยามของน้ำแร่ ตามประกาศกระทรวงสาธารณสุขฉบับใหม่ ที่ออกตามพระราชบัญญัติอาหารว่า หมายความถึงน้ำแร่ตามธรรมชาติ ที่ได้จากแหล่งน้ำที่เกิดขึ้นเองโดยธรรมชาติ และมีแร่ธาตุผสมอยู่เป็นคุณสมบัติสำหรับแหล่งน้ำนั้นๆ ฟังดูยังงงกันอยู่ แต่ไม่เป็นไรค่ะอ่านไปเดี๋ยวก็ตาสว่างเอง ถ้าคุณเคยสังเกตเวลาดูว่าชาวต่างประเทศผ่านดาวเทียมจะพบว่า ในการประชุมระหว่างผู้นำคนสำคัญของโลกนั้นบนโต๊ะการประชุมมักมีขวดสีเขียว ซึ่งไม่ใช่สไปรท์วางอยู่คู่กับแก้วน้ำน้ำในขวดนั้นมักจะเป็นน้ำแร่ธรรมชาติ ซึ่งไม่ต่างกับเวลาเข้ารับหังการบรรยายตามโรงแรมในกรุงเทพฯ มักจะมีน้ำแร่ของการประปานครหลวงมาเสิร์ฟ ที่เรียกว่าน้ำแร่การประปาก็เพราะปัจจุบันมีน้ำประปาของ กทม. นั้นมีคุณภาพเข้าขั้นของน้ำแร่ธรรมชาติแล้ว เพราะสังเกตได้ว่าเมื่อรินใส่แก้วทิ้งไว้สักหลายๆ วันให้น้ำระเหยแห้งไป คุณจะพบคราบที่แก้วน้ำซึ่งไม่ใช่อื่นใดนั้นคือแร่ธาตุที่มีในธรรมชาติของน้ำในบ้านเรา (บวกกับสารเคมีที่โรงงานต่างๆ พร้อมใจกันเติมลงในน้ำดื่มที่ใช้น้ำประปา)คนต่างชาติเช่นชาวยุโรปนั้นเชื้อว่าน้ำแร่นั้นดื่มแล้วดี ทำให้แข็งแรง แถมมีรสชาติดีด้วย น้ำแร่ที่เขานิยมดื่มมักจะมาจากแหล่งน้ำแร่ที่อยู่บนเชิงเขาเชิงดอยซึ่งห่างไกลจากเมืองที่มีมลพิษความจริงในบ้านเราก็มีแหล่งน้ำแร่อยู่หลายแห่ง ที่ขึ้นชื่อลือชาก็คงเป็นที่ จ.ระนอง ซึ่งมีการต่อน้ำแร่ซึ่งเกิดจากน้ำพุร้อนเข้าไปให้อาบกันที่โรงแรมเลย น้ำแร่ประเภทนี้ต่างจากประเภทอื่นที่บรรจุขวดดื่ม เพราะมันมีกำมะถันสูง เหมาะกับการอาบเพื่อรักษาโรคผิวหนังมากกว่าในทางการปฏิบัติเพื่อนำเข้าหรือผลิตน้ำแร่ในทางการค้านั้น อย.ได้กำหนดประกาศขึ้นมาควบคุมเฉพาะ โดยคำนึงถึงความปลอดภัยของผู้บริโภคเป็นหลัก ประกาศฉบับนี้อาศัยหลักการและเนื้อหาจากที่มีการประกาศนานาชาติเลยทีเดียว เพื่อแสดงว่าไทยเราก็ศิวิไลซ์เหมือนกัน นอกจากแร่ธาตุแล้วก็ยังมีการกำหนดปริมาณสารปนเปื้อนต่างๆ ซึ่งเกิดจากปุ๋ย การชะล้างทำความสะอาดโรงงานอุตสาหกรรม ตลอดจนสารกัมมันตภาพรังสี อีกทั้งต้องไม่มีเชื้อโรคในระดับที่ก่อให้เกิดอันตรายอีกด้วยในการผลิตน้ำแร่ตามหลักสากลนั้นก็ได้พยายามให้เป็นธรรมชาติที่สุด กล่าวคือตักมาจากบ่ออย่างไรก็กรอกใส่ขวดอย่างนั้น อาจเติมก็าซคาร์บอนไดออกไซต์ลงไปใปให้เกิดความซ่าส์ สำหรับคนชอบซ่าส์หรือเติมก๊าซโอโซนลงไปเพื่อฆ่าเชื้อโรค นอกจากนั้นห้ามทำแม้แต่กระทั่งการกรองประเด็นสำคัญที่ผู้บริโภคน้ำแร่ต้องคำนึงไว้ก็คือ เรื่องการแสดงฉลาก ซึ่งตามประกาศที่กระทรวงสาธารณสุขออกไว้แต่เดิม และจากการแก้ไขใหม่นั้นจะช่วยคุ้มครองสุขภาพผู้บริโภคให้มากขึ้น เช่น กรณีคำเตือนที่ไม่แนะนำให้เด็กและหญิงมีครรภ์บริโภค เนื่องจากแนวความคิดว่าไม่มีเหตุผลใดที่จะต้องไปเสี่ยงกับการรับแร่ธาตุซึ่งบางอย่างอาจไม่ปลอดภัยได้นอกจากนี้ยังมีการบังคับให้ผู้จำหน่ายจัดประเภทน้ำแร่ของตนว่าอยู่ในประเภทต่อไปนี้หรือไม่ เช่น ต้องแสดงฉลาว่ามีฤทธิ์ถ่ายท้อง ถ้ามีเกลือซัลเฟตเกิน 600 มิลิกรัม/ลิตร ยกเว้นเกลือแคลเซียมซัลเฟต มีเกลือสูงถ้ามีโซเดียมคลอไรต์มากกว่า 1,000 มืลลืกรัม/ลิตร ทีธาตุเหล็กสูงถ้ามีแร่เหล็กมากกว่า 5 มิลลิกรัม/ลัตร ฯลฯข้อมูลที่กล่าวมาทั้งหมดนั้น ได้มาจากการที่อนุกรรมการพิจารณาดำเนินการให้เป็นไปตามมาตรา 6 ในการพิจารณากำหนดคุณภาพหรือมาตรฐานของอาหารเป็นเวลาหลายสิบชั่วโมง โดยมีวัตถุประสงค์ที่จะไม่ให้มีการหลอกลวงผู้บริโภค โดยการนำเอาน้ำอะไรไม่รู้มากรอกใส่ขวดแล้วบอกว่าเป็นน้ำแร่ ทั้งนี้ถ้าปล่อยให้น้ำแร่มีการผลิตและจำหน่ายได้ง่ายเช่นเดียวกับน้ำดื่มบรรจุขวดซึ่งขาดการดูแลที่เหมาะสม ในกรณีที่ผลิตในลักษณะอุตสาหกรรมห้องแถวแล้ว น้ำขวดเหล่านั้นอาจติดฉลากว่าเป็นน้ำแร่ในวันใดวันหนึ่ง เพราะอย่างที่ทราบกันเป็นการภายในว่าการผลิตน้ำดื่มบรรจุขวดตามห้องแถวหรือหมู่บ้านจัดสรรนั้น ทำโดยไม่ต้องขึ้นทะเบียนตำรับอาหารเพียงขอฉลากเท่านั้น จากนั้นไปซื้อเครื่องกรองน้ำมาชุดหนึ่ง แล้วก็ต่อน้ำประปาหรือน้ำบาดาลเข้าไป แรกๆ ก็ดูเป็นน้ำสะอาดดี แต่เมื่อเวลาผ่านไปสักพักโดยการขาดการดูแลเอาจใส่เปลี่ยนใส้กรอง ทำให้น้ำก่อนเข้าเครื่องกรองน้ำที่ออกมาบรรจุขวด ก็อาจมีระดับความสะอาดแทบไม่ต่างกัน และโดยที่ทราบกันดีว่าน้ำบาดาล และน้ำประปาบ้านเรานั้นมีความกระด้างสูง ดูจากการต้มน้ำกินจะพบตะกรันตกตะกอนลงก้นมามากมาย ดังนั้นน้ำดื่มบรรจุขวดที่ขายกันราคาถูกจึงอาจเข้าอยู่ในลักษณะของสิ่งปนเปื้อนได้ ทางราชการจึงจำเป็นต้องออกกฎและระเบียบมาควบคุมไว้บ้างคุณภาพมาตรฐานของน้ำแร่ธรรมชาติตามพระราชบัญญัติอาหาร พ.ศ.2522 ให้ความหมายของ “น้ำแร่ธรรมชาติ” ไว้ว่า “น้ำแร่ธรรมชาติที่ได้มาจากแหล่งน้ำใต้ดินที่เกิดขึ้นเองโดยธรรมชาติ และมีแร่ธาตุต่างๆ อยู่ตามคุณสมบัติสำหรับแหล่งน้ำแร่ธรรมชาติแล่งนั้นๆ”ซึ่งประกาศกระทรวงสาธารณสุขก็บัญญัติให้น้ำแร่ธรรมชาติเป็นอาหารที่กำหนดคุณภาพมาตรฐาน โดยการผลิตน้ำแร่ธรรมชาติ จะต้องกระต้องกระทำภายในบริเวณแหล่งน้ำแร่ธรรมชาติแหล่งนั้นๆ เท่านั้น โดยอาจจะนำไปผ่านกรรมวิธีการผลิตก่อนการบรรจุก็ได้ ซึ่งจะต้องกระทำตามกรรมวิธีการผลิตดังต่อไปนี้การปรับปริมาณก็าซที่มีอยู่ในน้ำแร่ธรรมชาติ การกำจัดสารประกอบที่ไม่ลงตัว เช่น สารประกอบหลัก แมงกานีส กำมะถัน สารหนู เป็นต้น ให้กำจัดโดยวิธีทำให้ตกตะกอน (decantation) และหรือโดยวิธีการกรอง (filtration) เท่านั้น แต่อาจมีการเติมอากาศ (aeration) เพื่อเร่งการตกตะกอนและหรือการกรองตาความจำเป็นก่อนการกำจัดก็ได้ โดยต้องไม่ทำให้สารประกอบสำคัญในน้ำแร่ธรรมชาติที่เปลี่ยนแปลงไปคุณภาพมาตรฐานองน้ำแร่ใส ไม่มีตะกอน แร่ธาตุที่มีอยู่ในน้ำแร่ธรรมชาติต้องมีปริมาณที่ไม่เป็นอันตรายต่อร่างกาย ได้แก่- ทองแดง ไม่เกิน 1 มิลลิกรัม /น้ำแร่ธรรมชาติ 1 ลิตร- แมงกานีส ไม่เกิน 2 มิลลิกรัม/น้ำแร่ธรรมชาติ 1 ลิตร- บอเรต ไม่เกิน 5 มิลลิกรัม/น้ำแร่ธรรมชาติ 1 ลิตร- สารหนู ไม่เกิน 0.05 มิลลิกรัม/น้ำแร่ธรรมชาติ 1 ลิตร- แบเรียม ไม่เกิน 1 มิลลิกรัม/น้ำแร่ธรรมชาติ 1 ลิตร- แคดเมียม ไม่เกิน 0.003 มิลลิกรัม/น้ำแร่ธรรมชาติ 1 ลิตร- โครเมียม ไม่เกิน 0.05 มิลลิกรัม/น้ำแร่ธรรมชาติ 1 ลิตร- ตะกั่ว ไม่เกิน 0.01 มิลลิกรัม/น้ำแร่ธรรมชาติ 1 ลิตร- ปรอท ไม่เกิน 0.001 มิลลิกรัม/น้ำแร่ธรรมชาติ 1 ลิตร- ซิลีเนียม ไม่เกิน 0.05 มิลลิกรัม/น้ำแร่ธรรมชาติ 1 ลิตร- ไบเดรต ไม่เกิน 50 มิลลิกรัม/น้ำแร่ธรรมชาติ 1 ลิตร- พลวง ไม่เกิน 0.005 มิลลิกรัม/น้ำแร่ธรรมชาติ 1 ลิตร- นิเกิล ไม่เกิน 0.02 มิลลิกรัม/น้ำแร่ธรรมชาติ 1 ลิตรสารปนเปื้อน- ไซนาไมต์ ไม่เกิน 0.07 มิลลิกรัม/น้ำแร่ธรรมชาติ 1 ลิตร- ไบไดรต์ ไม่เกิน 0.02 มิลลิกรัม/น้ำแร่ธรรมชาติ 1 ลิตร- ไม่พบสารกำจัดศัตรูพืชและสัตว์- ไม่พบโพลีคลอริเนตเดตไนพีนีล- ไม่พบสารลดความตึงผิว- ไมพบน้ำมันแร่- ไม่พบโพลีนิวเคลียร์อะโรแมติกไฮโดรคาร์บอนต้องไม่พบจุลินทรีย์- แบคทีเรียชนิดโคลิฟอร์มน้อยกว่า 2.2 ต่อน้ำแร่ธรรมชาติ 100 มม.- ไม่พบแบคทีเรียชนิดอี.โคไล (Escherichia coll) - ไม่มีจุลินทรีย์ที่ทำให้เกิดโรค ฉลากของน้ำแร่ต้องแสดงข้อมูลต่างๆ เหล่านี้ชื่อของน้ำแร่ธรรมชาติ โดยต้องแสดงแหล่งที่มาของน้ำแร่ธรรมชาตินั้น โดยอาจมีชื่อทางการค้าประกอบด้วยหรือไม่ก็ได้ และกำกับด้วยชื่อที่แสดงการปรับปริมาณก๊าซของน้ำแร่ธรรมชาติตามมาตรฐาน Joint FAO/WHO, Codexแสดงชื่อของแร่ธาตุที่สำคัญการผ่านกรรมวิธี แสดงคำเตือนซึ่งมีขนาดความสูงไม่น้อยกว่า 2 มม. เห็นชัดในกรอบสี่เหลี่ยมสีแดงพื้นขาว ดังต่อไปนี้ มีฟลูออไรด์ สำหรับน้ำกแร่ธรรมชาติที่มีปริมาณฟลูออไรด์มากกว่า 1 มิลลิกรัมต่อน้ำแร่ธรรมชาติ 1 ลิตร และต้องเพิ่มคำเตือน ผลิตภัณฑ์นี้ไม่เหมาะสำหรับทารกและเด็กอายุต่ำกว่า 7 ปี สำหรับน้ำแร่ที่มีฟลูออไรด์มากกว่า 2 มิลลิกรัมต่อน้ำแร่ธรรมชาติ 1 ลิตรต้องมีข้อความเป็นภาษาไทย มีลักษณะการปรากฏให้เห็นชัดเจนที่ภาชนะบรรจุมีใบสำคัญการขึ้นทะเบียนตำรับอาหาร หรือการใช้ฉลากอาหารตามประกาศกระทรวงสาธารณสุขฉบับที่ 146 (พ.ศ.2535) เรื่องน้ำแร่ ลงวันที่ 30 กันยายน พ.ศ.2535

ดูแลดวงตาให้สดใส

ดูแลดวงตาให้สดใส
ท่าที่ 1 ครอบดวงตา
โค้งอุ้งมือทั้งสองครอบดวงตาไว้เฉย ๆ ระวังอย่าให้อุ้งมือกดทับดวงตา
นึกถึงบรรยากาศที่ผ่อนคลาย เช่น วันพักผ่อนสุดสัปดาห์ตามป่าเขาหรือชายทะเล อยู่ในท่านี้สัก 10 นาที
ท่าที่ 2 สร้างจินตภาพ
ต่อจากท่าที่ 1 ยังคงครอบดวงตาอยู่ สร้างจินตภาพว่าตนเองกำลังมองวัตถุบางอย่างที่มีสีสันสดใส
มีรายละเอียดต่างๆ ที่ชัดเจน เช่น มองเห็นดอกเบญจมาศสีเหลืองสวย เห็นกลีบดอกแต่ละกลีบละเอียดชัดเจน สายตาที่คมชัดจากจินตนาการของเราเองจะช่วยเยียวยาสายตาจริงๆ ของเราได้เป็นอย่างดี
ท่าที่ 3 กวาดสายตา
มองแบบไม่ต้องจ้อง (คนสายตาสั้นมักจ้องและเขม้นตา) กวาดสายตาไปตามวัตถุที่อยู่ไกล ๆ ทางโน้นบ้างทางนี้บ้าง ทำให้ตาของเราได้ผ่อนคลาย
ท่าที่ 4 กะพริบตา
ฝึกนิสัยให้กะพริบตา 1-2 ครั้ง ทุก ๆ 10 วินาที ช่วยให้แก้วตาสะอาดและมีน้ำหล่อเลี้ยง
โดยเฉพาะคนที่สวมแว่นหรือคอนแท็กต์เลนส์ยิ่งจำเป็น
ท่าที่ 5 โฟกัสภาพใกล้และไกล
เหยียดแขนซ้ายไปให้ไกลที่สุด ตั้งนิ้วชี้มือซ้ายขึ้นเพื่อเป็นจุดโฟกัส ขณะเดียวกัน
ตั้งนิ้วชี้มือขวาให้ห่างจากใบหน้าสัก 3 นิ้ว (7.5 ซม.) โฟกัสภาพที่แต่ละนิ้วสลับกันไปมา ทำบ่อยๆ
เมื่อโอกาสอำนวย
ท่าที่ 6 ชโลมดวงตา
ตื่นนอนทุกเช้าใช้มือวักน้ำชโลมดวงตาด้วยน้ำอุ่น สัก 20 ครั้ง สลับกับการวักน้ำเย็นชโลมดวงตาอีก 20 ครั้ง ทั้งนี้เพื่อช่วยให้เลือดหมุนเวียนมาเลี้ยงดวงตาดีขึ้น การจบด้วยน้ำเย็น ทำให้กล้ามเนื้อตาและหนังตากระชับไม่หย่อนยาน ก่อนเข้านอนให้วักน้ำชโลมดวงตาอีกครั้งหนึ่ง แต่คราวนี้ชโลมด้วยน้ำเย็นก่อนแล้วตามด้วยน้ำอุ่น จะทำให้กล้ามเนื้อตาและหนังตาได้ผ่อนคลาย ก่อนเข้านอน
ท่าที่ 7 แกว่งตัว
ยืนแยกเท้าเท่ากับช่วงไหล่ แกว่งตัวไปมาจากซ้ายไปขวา ถ่ายน้ำหนักตัวบนขาแต่ละข้างสลับไปมา สายตามองไปไกลๆ แต่ไม่ต้องจ้อง ปล่อยให้จุดที่เรามองแกว่งไปมาซ้ายขวาตามการแกว่งตัว ท่านี้จะทำให้ดวงตาได้พักและมีการปรับตัวดีขึ้น ทำบ่อย ๆ เมื่อมีโอกาส เปิดเพลงคลอไปด้วยก็ได้
"วิธีของเบตส์" ได้รับการยืนยันจากจักษุแพทย์จำนวนมากว่าเป็นการฝึกดวงตา ที่เป็นระบบช่วยรักษาสายตาคนไข้ได้เป็นจำนวนมาก

3 จี


กทช.-ค่ายมือถือลุ้นตัวโก่ง หลังศาลปกครองรับคำร้องให้ยุติหรือชะลอการเปิดประมูลใบอนุญาต 3 จี และนัดไต่สวนคุ้มครองชั่วคราววันนี้ ขณะที่การประมูลงวดเข้ามาทุกที ในวันที่ 20 ก.ย. งานนี้ กทช.ทุ่มจัดงานอย่างใหญ่โต แต่จะเก้อหรือไม่ รอกันอีกไม่กี่วันก็รู้...หลังจากกระแสข่าวการเกิดเทคโนโลยี 3 จี ในประเทศไทยมีขึ้นอย่างต่อเนื่องในช่วงเดือนที่ผ่านมา โดยอีกไม่เกิน 1 สัปดาห์นี้ เราจะได้เห็นหน้าตากับผู้ให้บริการโทรศัพท์เคลื่อนที่ (โอปอเรเตอร์) ที่จะเป็นเจ้าของคลื่นความถี่ ย่าน 2.1 กิกกะเฮิร์ตซ และสามารถเปิดให้บริการเทคโนโลยีรายแรกๆของเมืองไทย แต่ท่ามกลางกระแสข่าวดังกล่าวได้เกิดเหตุการณ์ลุ้นระทึกขึ้นในวงการโทรคมนาคมอีกครั้งเมื่อ บริษัท กสท.โทรคมนาคม จำกัด (มหาชน) หรือ CAT ได้ยื่นฟ้องร้องคณะกรรมการกิจการโทรคมนาคมแห่งชาติ (กทช.) ต่อศาลปกครองกลาง เมื่อวันจันทร์ (13 ก.ย.) ที่ผ่านมา เพื่อขอให้ศาลมีคำสั่งคุ้มครองชั่วคราว และให้กทช.ยุติหรือชะลอการเปิดประมูลใบอนุญาตประกอบกิจการโทรศัพท์ เคลื่อนที่ 3 จี ซึ่งจะมีขึ้นในวันที่ 20 ก.ย.นี้ ออกไปก่อนนั้น ขณะนี้ศาลปกครองกลางได้รับคำร้อง และได้นัดไต่สวนคดีดำหมายเลข 1411 / 2553 โดยได้เรียก กสท.ในฐานะผู้ฟ้อง และกทช.ในฐานะผู้ถูกฟ้อง มาชี้แจงในวันนี้ (15 ก.ย.) เวลา 13.00 น. เพื่อพิจารณาว่าจะมีคำสั่งคุ้มครองชั่วคราวตามคำฟ้องร้องของกสท.หรือไม่ ทั้งนี้ กสท.ได้ยื่นฟ้องกทช.ต่อศาลปกครอง โดยขอให้ศาลเพิกถอนคำสั่งประกาศกทช.เรื่องหลักเกณฑ์และวิธีการอนุญาตให้ใช้ คลื่นความถี่ ย่าน 2.1 กิกกะเฮิร์ตซ และกทช.ไม่มีอำนาจนำคลื่นความถี่ไปเปิดประมูลใบอนุญาต 3 จีได้ เนื่องจากประกาศดังกล่าวออกตามพ.ร.บ. องค์กรจัดสรรคลื่นความถี่และกำกับดูแลกิจการวิทยุกระจายเสียงและวิทยุ โทรทัศน์ และกิจการโทรคมนาคม พ.ศ. 2543 ซึ่งอยู่ภายใต้รัฐธรรมนูญปี 2540 แต่เมื่อคณะปฏิรูปการปกครองในระบอบประชาธิปไตย (คปค.)ได้ประกาศยกเลิกใช้รัฐธรรมนูญปี 2540 ทางกสท. มีความเห็นว่า พ.ร.บ.องค์กรจัดสรรคลื่นความถี่ฯฉบับดังกล่าวก็ต้องถูกยกเลิกไปด้วย รวมทั้งประกาศกทช.เรื่องหลักเกณฑ์และวิธีการใช้คลื่นความถี่ 3 จี ยังกระทบต่อผู้ใช้บริการ 2 จี เนื่องจากในประกาศห้ามผู้ให้บริการโทรศัพท์มือถือ 2 จี เชื่อมต่อโครงข่าย(โรมมิ่ง) กับโครงข่ายของผู้ให้บริการ 3 จี แต่ผู้ให้บริการ 3 จี สามารถเชื่อมต่อโครงข่าย 2 จี ได้ ถือว่าไม่ยุติธรรมต่อผู้ให้บริการและผู้ใช้บริการ 2 จี ประกอบกับผู้รับสัมปทานภายใต้กสท. ทั้ง บริษัท โทเทิ่ล แอ็คเซ็ส คอมมูนิเคชั่น จำกัด (มหาชน) หรือ ดีแทค และบริษัท ทรูมูฟ จำกัด เป็นผู้เข้าร่วมประมูล 3 จี ดังนั้นเมื่อผู้รับสัมปทานภายใต้กสท. เป็นผู้ชนะประมูลและเปิดให้บริการ 3 จี จะงัดกลยุทธ์ต่าง ๆ เพื่อทำการโอนย้ายลูกค้า2 จี ไป 3 จี ซึ่งเมื่อถึงเวลานั้น กสท.จะได้รับผลกระทบอย่างหนัก เพราะขาดรายได้จากค่าสัมปทานปีละ 15,000 ล้านบาท และต้องทยอยลดลงอย่างต่อเนื่องด้วยอย่างไรก็ตาม หลังจากมีข่าวว่าศาลปกครองกลางได้นัดไต่สวนคดีระหว่างกสท.กับกทช. ทำให้ฝ่ายบริหาร บริษัท ทีโอที จำกัด (มหาชน) ได้นัดประชุมหารือเพื่อเตรียมที่จะยื่นฟ้องกทช.ต่อศาลปกครองเช่นเดียวกับกสท. ในอีก 2-3 วัน เนื่องจากบริษัท แอดวานซ์ อินโฟร์ เซอร์วิส จำกัด (มหาชน) หรือ เอไอเอส เป็นผู้เข้าร่วมประมูล 3 จีด้วย หากเอไอเอสชนะประมูลและเปิดให้บริการ 3 จี จะมีการโอนย้ายลูกค้าไป 3 จี ซึ่งจะทำให้ทีโอทีสูญเสียรายได้จากค่าสัมปทานปีละ 20,000 ล้านบาท ดังนั้น จำเป็นต้องยื่นฟ้องร้องกทช. เพื่อปกป้องผลประโยชน์ขององค์กรพ.อ.นที ศุกลรัตน์ กรรมการกทช.และในฐานะประธานคณะกรรมการเพื่อการออกใบอนุญาต 3 จี กล่าวว่า กทช.ได้รับหนังสือรับฟัองคำร้องของกสท. แล้ว โดยให้กทช.ไปให้ถ้อยคำต่อศาลในวันที่ 16 ก.ย.นี้ ขณะเดียวกันกทช.ได้ยื่นคำร้องต่อศาล เพื่อขอไปให้ถ้อยคำเร็วขึ้นกว่าที่กำหนดจากวันที่ 16 ก.ย. เป็น วันที่ 15 ก.ย.เนื่องจากต้องการให้การพิจารณาเกิดขึ้นอย่างรวดเร็วขึ้น ซึ่งเชื่อว่าศาลมีความเข้าใจ เพราะเป็นเรื่องเร่งด่วน และจะเปิดประมูลในวันที่ 20 ก.ย.นี้ “กทช.ขอยืนยันว่าได้ดำเนินการอย่างถูกต้องตามกฎหมายที่ให้อำนาจกทช.และทำ อย่างโปร่งใสและเป็นประโยชน์ต่อประชาชนและประเทศชาติ ซึ่งกทช.มั่นใจว่าทำดีที่สุดแล้ว ดังนั้นต้องขึ้นอยู่กับการคำตัดสินของศาล ซึ่งกทช.พร้อมน้อมรับและจะปฏิบัติตามคำตัดสินของศาล” พ.อ.นที กล่าว

วันเสาร์ที่ 18 กันยายน พ.ศ. 2553

10แหล่งท่องเที่ยวฤดูฝน

10 แหล่งสถานที่ท่องเที่ยว ช่วงฤดูฝน

ใครว่า....หน้าฝนต้องนั่งกร่อย ได้แค่มองแต่หน้าต่าง หากแต่ใต้ผืนฟ้าช่วงหน้าฝนมีเรื่องมหัศจรรย์ให้นัก
ท่องเที่ยวได้ค้นหาอีกเยอะ
ใครจะรู้ว่าบ้างว่าหลังจากเม็ดฝนที่โปรยปรายจะเนรมิตเสน่ห์ความสดชื่น ของท้องฟ้า สายน้ำ ผืนป่า และพืชพรรณ ให้สวยงามได้ขนาดนี้ ฟ้าฝนไม่ใช่อุปสรรคสำคัญ สำหรับการก้าวเดินของเหล่าบรรดาผู้ที่หลงรักการ
ท่องเที่ยว เพราะในทุกฤดูฝน ความงามที่แตกต่างของธรรมชาติจะปรากฎให้เห็นในมุมมองใหม่ที่สดชื่นกว่าเดิม สามารถเรียกพลังความสดใสกลับมา
เริ่มจากการเดินทางระยะไกลๆ กันที่

1 จังหวัดนครศรีธรรมราช มีโปรแกรม "เที่ยวป่าและน้ำตกกรุงชิง" ซึ่งเป็นส่วนหนึ่งของอุทยานแห่งชาติเขาหลวง จ. นครศรีธรรมราช ที่ถือว่ามีความอุดมสมบูรณ์ของธรรมชาติสูงมากเป็นป่าดิบชื้นที่แน่นทึบตั้งแต่ราบต่ำถึงเชิงเขา ทำให้ที่นี่นับเป็นแหล่งดูนกที่น่าสนใจที่สุดแห่งหนึ่งของภาคใต้ จนได้รับการขนานนามว่าเป็น "สวรรค์ของนกแดนใต้" ขณะที่น้ำตกกรุงชิงเอง ไม่น้อยหน้า เพราะมีความสูงถึง 7 ชั้น และความงามที่แตกต่างในแต่ละชั้นให้ได้ประหลาดใจ
ขึ้นมาภาคเหนือภูมิใจเสนอ

2 โปรแกรมเที่ยว ป่าเพชรบูรณ์ “อุทยานแห่งชาติน้ำหนาว” ซึ่งความแปลกตาของป่าผืนนี้คือ ป่าสน ที่อายุไม่ต่ำกว่า 100 ปี ทำให้ต้นสนที่นี่สูงลิบตา 30-40 เมตรตระหง่านเรียงรายตัดกับพื้นหญ้าเขียวขจีบนภูเขาเพชรบูรณ์ที่สลับซับซ้อน ผสมกับอากาศหนาวเย็นปกคลุมตลอดปี เย้ายวนให้นักท่องเที่ยวเร่งฝีเท้าเข้ารับความสดชื่นในป่าผืนนี้ซ้ำแล้วซ้ำอีก
ก่อนเดินทางไปที่ จุดหมายที่

3 อำเภอเชียงดาวจังหวัดเชียงใหม่ มีอะไรมากกว่าที่คิด เพราะที่นี่ “อุทยานแห่งชาติเชียงดาวและดอยผาแดง” ซึ่งเป็นต้นน้ำของแม่น้ำปิงและแม่แตง มีความอุดมสมบูรณ์ของป่ามากแห่งหนึ่งของภาคเหนือ โดยมีทิวทัศน์ที่สวยงามบนยอดดอยเป็นเป้าหมายที่ท้าทายสำหรับภาระกิจการเดินทางเที่ยวป่าครั้งนี้
หากต้องการสถานที่สำหรับครอบครัว

4 “อุทยานแห่งชาติเขาใหญ่” ที่ครอบคลุม 4 จังหวัด คือ จังหวัดสระบุรี จังหวัดนครราชสีมา จังหวัดปราจีนบุรี และจังหวัดนครนายก ยังเป็นคำตอบที่ดีด้วย สมญานามแห่งการเป็นอุทยานมรดกของกลุ่มประเทศอาเซียน ทำให้ที่นี่แม้เป็นฤดูฝน แต่สภาพบนเขาใหญ่ก็ชุ่มฉ่ำ ป่าไม้ทุ่งหญ้าเขียวขจีสดสวย น้ำตกทุกแห่งไหลแรงส่งเสียงดังก้องป่า ให้ชีวิตชีวาแก่ผู้ไปเยือน
สถานที่แห่งที่

5 ขอแนะนำ “อุทยานแห่งชาติภูหินร่องกล้า” ตั้งครอบคลุมพื้นที่รอยต่อของสองจังหวัด คือ อำเภอด่านซ้าย จังหวัดเลย และอำเภอนครไทย จังหวัดพิษณุโลก ซึ่งในหน้าฝนนั้นเส้นทางที่เดินไปยังจุดท่องเที่ยวต่างๆทั้งลานหินปุ่ม ผาชูธง หรือลานหินแตก ปรากฎความเขียวชะอุ่มของมอสสีเขียวสดตัดกับแนวพื้นหิน และทิวป่า 3 ประเภททั้ง ป่าเต็งรัง ป่าดิบเขา และป่าสนเขาที่ถ่ายทอดความสุนทรีย์ของวอลล์เปเปอร์ธรรมชาติได้ต่างกัน
ใครอยากได้ความเร้าใจกับกิจกรรมการ
ท่องเที่ยวเชิงนิเวศ จุดหมายที่
6 โปรแกรม “ล่องแก่งลำน้ำเข็ก” ที่จังหวัดพิษณุโลก การันตีได้ถึงความมันส์ เพราะความท้าทายในการล่องแก่งช่วงกลางของลำน้ำแห่งนี้ ถือว่ามีระดับความยากสูง ระดับ 5 ของการล่องแก่งอันดับต้น ๆ ของสายน้ำในประเทศไทย
หากยังต้องการเพิ่มดีกรีความตื่นเต้นจากกิจกรรม
ท่องเที่ยวเชิงผจญภัย
แหล่งที่ 7 ขอแนะนำลำน้ำที่เชี่ยวกรากอีกที่อย่าง "แก่งหินเพิง" จังหวัดปราจีนบุรี ซึ่งกิจกรรมล่องแก่งจะเริ่มต้นขึ้นในทุกช่วงเดือนกรกฎาคมของทุกปี หรือช่วงหน้าน้ำที่จะช่วยเติมเต็มความสนุกสนามจากการล่องแก่งได้มากที่สุด ระยะทางการล่องแก่งที่นี่ยาว 2.5 กิโลเมตรและมีระดับความยากถึงระดับ 5 เช่นกัน
สถานที่แห่งที่ 8 เป็นการผสมผสานระหว่างความท้าทายเหนือสายน้ำ และทิวทัศน์บรรยากาศธรรมชาติที่ถูกสร้างสรรค์อย่างสวยงาม นั่นคือ “วังตะไคร้” จังหวัดนครนายก ที่นี่นอกจาก น้ำตกจำลอง สวนไม้ดอกคุณท่าน และสระปทุมแล้ว ในฤดูฝนหลากการล่องแก่งห่วงยาง หรือแก่งแพยาง หรือจะเป็นกิจกรรมที่รอให้หลายๆคนฝ่าฝนออกมาค้นหา
2 สถานที่สุดท้ายในผืนแผ่นดินใกล้ๆกัน ที่จังหวัดตาก นัก
ท่องเที่ยวสามารถ เริ่มต้นท่องเที่ยวจาก
แห่งที่ 9 เมืองอุ้มผาง ที่มีผืนป่าบริสุทธิ์ ไว้ให้ทอดน่องยลทัศนียภาพและอากาศบริสุทธิ์ของป่า หรือจะเลือกการนั่งช้างมองมุมสูง แวะสัมผัสกระแสน้ำตกสายที่กระเซ็นสดชื่น
หลังจากนั้นยังสามารถออกเดินทางออกจากอุ้มผางสู่

จุดหมายสุดท้ายที่ 10 “ทีลอซู” ด้วยการล่องแพ เมื่อใช้แพยางหรือไม้ไผ่ลัดเลาะสารพันแก่งสู้สายน้ำ ไปถึงน้ำตกทีลอซู ก็สุดจะคุ้มค่าแล้ว กับความงามของหนึ่งในน้ำตกที่ยิ่งใหญ่ด้วยความสูง 300 เมตร
สำหรับคนที่ตกลงปลงใจเก็บกระเป๋าย่ำเท้าเที่ยวหน้าในฝนนี้ คงต้องมองหาความปลอดภัยโดยการศึกษาข้อมูลสภาพฟ้าฝนและการเดินทางก่อนนะคะ เพราะบ่อยครั้งน้ำมากเกินไป หรือฝนตกหนักจนดินถล่มก็อาจเป็นอุปสรรคและอันตรายต่อการเดินทางได้

18 วิธีทำให้สุขภาพดี

1. แอปเปิ้ล แตงโม กล้วย กีวีต้องระวังผลไม้ทั้ง 3 ชนิดนี้มีประโยชน์มาก แต่ถ้าคุณกำลังทานยาปฏิชีวนะอยู่ ผลไม้พวกนี้จะกลายเป็นโทษทันทีเพราะมันบูดในลำไส้ได้ง่าย อาจจะทำให้เกิดอาการอักเสบในระบบทางเดินอาหารได้
2. ผลไม้กับมื้ออาหารก่อนทานอาหารควรจะเรยีกน้ำย่อยด้วยสับปะรดและมะละกอสัก 2-3 ชิ้น ผลไม้สองชนิดนี้มีเอนไซม์ที่จะช่วยให้กระเพาะย่อยอาหารมื้อหลักที่กำลังจะตามลงมาได้ง่ายขึ้น และหลังจากจบมื้ออร่อยแล้วควรตบท้ายด้วยแอปเปิ้ลสัก 1 ชิ้นเพื่อช่วยเพิ่มปริมาณน้ำลายซึ่งจะทำให้จำนวนแบคทีเรียในช่องปากลดลง และช่วยให้เหงือกแข็งแรงด้วย
3. อย่าปล่อยให้หิวควรจะทานอาหารให้ตรงเวลาทุกวันแม้จะยังไม่รู้สึกหิวก็ตาม เพราะเวลาที่เราหิวร่างกายจะหลั่งฮอร์โมนควมเครียดออกมา ถ้าเกิดเหตุการณ์แบบนี้เป็นประจำก็จะทำให้คุณกลายเป็นสาวเครียด และนำไปสู่อาการความดันโลหิตสูง โรคหัวใจ หรือเบาหวาน
4. เนื้อสัตว์กับผลไม้ไม่เข้ากันถ้าทานน้อยๆ ก็ไม่เป็นไร แต่ถ้ามื้อไหนคุณทานเนื้อเป็นจำนวนมากแล้วควรจะงดผลไม้ไป เพราะกว่าเนื้อจะย่อยหมดต้องใช้เวลานาน ส่าวนผลไม้ซึ่งย่อยเร็วจะถูกกักอยู่ในกระเพาะ จึงทำให้เกิดกรดในกระเพาะอาหารได้
5. นาฬิกาชีวภาพหลักการสุขภาพดีบอกไว้ว่าเราควรจะเข้านอนในเวลาเดียวกันทุกๆ วัน แต่ส่วนใหญ่พอถึงคืนวันศุกร์กับวันเสาร์เรามักจะนอนดึกเพราะถือว่าเป็นวันหยุด การทำอย่างนี้จะทำให้ความเคยชินหรือที่เรียกว่าชีวภาพของร่างกายรวรเร จึงไม่ต้องแปลกใจเลยที่วันจันทร์เราจะง่วงนอนกว่าปกติ
6. ความเครียดทำลายผิว ถ้าอยากผิวสวย แก่ช้า ดูอ่อนกว่าวัย สิ่งแรกที่ต้องปรับคือความคิดของตัวเราเอง พยายามคิดในทางบวก มองโลกในแง่ดี หลีกเลี่ยงความคิดที่ทำให้ตึงเครียด เพื่อไม่ให้ร่างกายหลั่งฮอร์โมนความเครียดออกทำลายตัวเราเอง
7. หลีกเลี่ยงภาชนะพลาสติกเพราะความร้อนรวมทั้งรสชาติเผ็ดเปรี้ยว เค็มจากอาหารสามารถเข้าไปกัดเซาะสารสังเคราะห์ในพลาสติกให้ละลายออกปะปนกับอาหารได้ตลอดเวลา โดยเฉพาะการใช้ภาชนะพลาสติกใส่อาหารเข้าอุ่นในเตาไมโครเวฟยิ่งเป็นสิ่งที่ต้องหลีกเลี่ยง เพราะเป็นการเสี่ยงต่อมะเร็งเต้านมเป็นอย่างมาก
8. อย่าประมาทอาการไอเรื้อรังหลังจากหายหวัดแล้วอาการไออาจจะยังไม่หายไป แต่สาวหลายคนมักจะไม่สนใจเพราะคิดว่าอาการไอเป็นเรื่องชิลๆ แต่ที่จริงอาการไอเรื้อรังร้ายแรงกว่าที่คุณคิด เพราะมันอาจเกิดจากการติดเชื้อไวรัส ยาปฏิชีวนะ ที่หมอให้มารักษาอาการหวัดไม่สามารถฆ่าเชื้อไวรัสได้ วิธีหยุดอาการไอที่ได้ผลที่สุดคือการดื่มน้ำบ่อยๆ เพื่อลดเสมหะในทางเดินหายใจ และนอนหลับให้เพียงพอเพื่อให้ระบบภูมิคุ้มกันของร่างกายทำงานได้เต็มที่
9. เท้าและข้อเท้าบวมถ้ามีอาการแบบนี้อย่าปล่อยไว้ เพราะฝ่าเท้าเป็นศูนย์รวมของเส้นประสาททั่วร่างกาย ถ้าบริเวณเท้ามีปัญหาก็จะส่งผลถึงร่างกายทุกส่วน วิธีแก้ไขคือให้นั่งยองๆ ทุกวันๆ ละ 15 นาทีจากนั้นก็ขยับข้อเท้าไปข้างหน้าและข้างหลังเพื่อช่วยให้เลือดไหลเวียนได้ดีขึ้น หลังจากนั้นใช้แปรงขนนุ่มๆ แปรงผิวหนังเบาๆ โดยเริ่มจากฝ่าเท้าแล้วค่อยๆ ปัดไล่ขึ้นมาที่ข้อเท้า น่อง ต้นขา ท้อง แขนไปจนสุดที่มือทั้งสองข้าง (ยกเว้นผู้ที่เป็นเบาหวานเพราะเสี่ยงจะเกิดบาดแผล) ตบท้ายด้วยการอาบน้ำอุ่นแล้วตามด้วยน้ำเย็น จะช่วยให้เลือดไหลเวียนดีขึ้น
10. งดเครื่องดื่มคาเฟอีนเครื่องดื่มพวกนี้ไม่ว่าจะเป็นชาหรือกาแฟ ปกติก็ไม่ควรดื่มอยู่แล้ว แต่ถ้าบังเอิญคุณเป็นโรคปวดหลัง เครื่องดื่มพวกนี้จะเป็นศัตรูของคุณไปทันที เพราะคาเฟอีนจะไปลดการหลั่งสารเอนโดรฟินซึ่งมีคุณสมบัติช่วยลดอาการปวดตามอวัยวะต่างๆ อาการปวดของคุณก็จะไม่หายหรืออาจจะเป็นมากขึ้นด้วย
11. ดื่มน้ำเร็ว...อันตรายใครๆ ก็บอกว่าควรจะดื่มน้ำให้ได้วันละ 8 แก้ว แต่ต้องค่อยๆ ดื่มไปตลอดวัน ไม่ใช่ทั้งวันไม่ดื่มเลย แล้วมารวบยอดเอาในครั้งเดียว เพราะการดื่มน้ำปริมาณมากๆ ในครั้งเดียวอาจทำให้เกิดอาการน้ำเป็นพิษเนื่องจากเลือดเจือจาง และอาจทำให้เป็นตะคริว กล้ามเนื้อเกร็งตามมา ยิ่งถ้าอาการเกร็งไปเกิดที่สมอง หัวใจ หรือปอด ก็อาจจะทำให้ระบบหายใจล้มเหลวและเสียชีวิตได้
12. แดดอ่อนตอนเช้าแสงแดดยามเช้าจัดว่าเป็นยาตามธรรมชาติที่ทุกคนสามารถเป็นเจ้าของโดยไม่ต้องเสียเงินซื้อ นอกจากทำให้กระดูกแข็งแรงแล้วยังทำให้อารมณ์ดี เพราะแดดอ่อนๆ มีวิตามินที่ช่วยกระตุ้นให้ร่างกายหลั่งสารแห่งความสุข ออกมาต่อต้านอาการซึมเศร้าในตัวเรา คนที่เดินเล่นรับแดดอ่อนจึงมีหน้าตาเบิกบานกว่าคนที่มัวแต่หลบแดดอยู่ในบ้านมาก
13. เบาหวานอย่าทานไข่ถ้าสมาชิกในครอบครัวคุณคนไหนเป็นเบาหวาน ควรให้เขางดไข่ไปเลย เพราะมีรายงานทางการแพทย์ว่าถ้าคนที่เป็นเบาหวานทานไข่อาทิตย์ละ 1 ฟอง จะมีโอกาสเป็นโรคหัวใจมากขึ้น 14. อยากผอมต้องน้ำเย็นการดื่มน้ำเย็น 50 ออนซ์ จะช่วยเผาผลาญพลังงานเพิ่มขึ้นวันละ 50 แคลอรี ช่วยให้น้ำหนักลดลงปีละ 2.5 กิโลกรัม เพราะเมื่อเราดื่มน้ำเย็นร่างกายต้องใช้พลังงานในการทำให้น้ำนั้นเปลี่ยนอุณหภูมิเป็นอุณหภูมิปกติก่อน แล้วจึงนำไปใช้ได้ จึงเป็นการใช้พลังงานมากกว่าเดิม
15. สุขภาพดีทันทีที่ตื่นถ้าอยากดูแลสุขภาพพร้อมกับการเริ่มต้นวันใหม่ ทันทีที่ตื่นนอนสาวๆ ควรผสมน้ำส้มสายชู (ที่หมักจากผลแอปเปิ้ล) กับน้ำผึ้งในสัดส่วนเท่ากัน ใส่น้ำอุ่นนิดหน่อย คนให้เข้ากันแล้วนำมาดื่ม จะช่วยให้การดูดซึมของระบบลำไส้และการเผาผลาญของร่างกายทำงานได้ดีตลอดวัน
16. ผู้ชายอย่าพลาดมะเขือเทศสำหรับหนุ่มซ่าที่กำลังเริ่มมีอาการเตะปี๊ปไม่ดังหรือกลัวว่าจะเป็นหมัน มะเขือเทศคือผลไม้ที่คุณจะพลาดไม่ได้ เพราะมะเขือเทศสุกมีสารโคปีนสูงมาก ช่วยให้ต่อมลูกหมากทำงานได้ดี ประสิทธิ์ภาพและสมรรถภาพต่างๆ จึงทำงานได้เป็นปกติ ถ้าผู้ชายทานมะเขือเทศอย่างน้อยอาทิตย์ละ 10 ผลหรือมากกว่านั้น ความเสี่ยงที่จะเป็นมะเร็งต่อมลูกหมาก ก็จะน้อยลง 45 เปอร์เซ็นต์ ที่สำคัญควรจะทานแบบสุกๆ เช่น ทานเป็นน้ำพริกอ่อง สปาเก็ตตี้ เพราะเวลามะเขือเทศถูกความร้อนมันจะปล่อยสารไลโคปีนออกมามากขึ้น
17. ป้องกันกรดในกระเพาะอาหารสำหรับที่ท้องอืดบ่อย ควรลดปริมาณการดื่มน้ำผลไม้เข้มข้นอย่างเช่น มะนาว ส้ม ส้มโอ เกรฟฟรุต หรือน้ำมะเขือเทศสดนั่น เพราะน้ำพวกนี้มีกรดมากทำให้ท้องอืด หรือถ้าเสพติดไปแล้วอดไม่ได้จริงๆ ก็อาจจะทำให้เจือจางลงด้วยการผสมน้ำมากๆ
18. หลบอัลไซเมอร์ด้วยเกมถ้าไม่อยากเป็นอัลไซเมอร์หรือเป็นโรคขี้หลงขี้ลืม สาวๆ ควรจะฝึกสมองด้วยการเล่นเกมที่ต้องใช้สมาธิ เช่น ปริศนาอักษรไขว้ เกมในคอมพิวเตอร์ หรืออาจจะทำกิจกรรมที่ต้องใช้สมาธิอย่างเรียนดนตรี เล่นหมากรุก เป็นต้น เพราะเกมเหล่านี้จะช่วยให้ระบบประสาททำงานเชื่อมต่อกันอย่างมีประสิทธิภาพ

พัฒนาของการวัยรุ่น

พัฒนาการวัยรุ่น
วัยรุ่นเป็นวัยที่มีการเปลี่ยนแปลงเกิดขึ้นหลายด้าน ทำให้ต้องมีการปรับตัวหลายด้านพร้อมๆกัน จึงเป็นวัยที่จะเกิดปัญหาได้มาก การปรับตัวได้สำเร็จจะช่วยให้วัยรุ่นพัฒนาตนเองเกิดบุคลิกภาพที่ดี ซึ่งจะเป็นพื้นฐานสำคัญของการดำเนินชีวิตต่อไป การเรียนรู้พัฒนาการวัยรุ่นจึงมีประโยชน์ทั้งต่อการส่งเสริมให้วัยรุ่นเติบ โตเป็นผู้ใหญ่ที่มีสุขภาพดีทั้งทางร่างกายจิตใจสังคม และช่วยป้องกันปัญหาต่างๆในวัยรุ่น เช่น ปัญหาทางเพศ หรือปัญหาการใช้สารเสพติด พัฒนาการของวัยรุ่น วัยรุ่น จะเกิดขึ้นเมื่อเด็กย่างอายุประมาณ 12-13 ปี เพศหญิงจะเข้าสู่วัยรุ่นเร็วกว่าเพศชายประมาณ 2 ปี และจะเกิดการพัฒนาไปจนถึงอายุประมาณ 18 ปี จึงจะเข้าสู่วัยผู้ใหญ่ โดยจะเกิดการเปลี่ยนแปลงอย่างมากในพัฒนาการด้านต่างๆ ดังนี้ 1.พัฒนาการทางร่างกาย ( Physical Development ) ประกอบด้วยการเปลี่ยนแปลงทางร่างกายทั่วไป และการเปลี่ยนแปลงทางเพศ เนื่องจากวัยนี้ มีการสร้างและหลั่งฮอร์โมนเพศ(sex hormones) และฮอร์โมนของการเจริญเติบโต(growth hormone)อย่างมากและรวดเร็ว การเปลี่ยนแปลงทางร่างกาย (physical changes) ร่างกายจะเติบโตขึ้นอย่างรวดเร็ว แขนขาจะยาวขึ้นก่อนจะเห็นการเปลี่ยนแปลงอื่นประมาณ 2 ปี เพศหญิงจะไขมันมากกว่าชายที่มีกล้ามเนื้อมากกว่า ทำให้เพศชายแข็งแรงกว่า การเปลี่ยนแปลงทางเพศ(sexual changes) สิ่งที่เห็นได้ชัดเจน คือวัยรุ่นชายจะเป็นหนุ่มขึ้น นมขึ้นพาน(หัวนมโตขึ้นเล็กน้อย กดเจ็บ) เสียงแตก หนวดเคราขึ้น และเริ่มมีฝันเปียก ( nocturnal ejaculation - การหลั่งน้ำอสุจิในขณะหลับและฝันเกี่ยวกับเรื่องทางเพศ) การเกิดฝันเปียกครั้งแรกเป็นสัญญานของการเข้าสู่วัยรุ่นของเพศชาย ส่วนวัยรุ่นหญิงจะเป็นสาวขึ้น คือ เต้านมมีขนาดโตขึ้น ไขมันที่เพิ่มขึ้นจะทำให้รูปร่างมีทรวดทรง สะโพกผายออก และเริ่มมีประจำเดือนครั้งแรก ( menarche) การมีประจำเดือนครั้งแรก เป็นสัญญานบอกการเข้าสู่วัยรุ่นในหญิง ทั้งสองเพศจะมีการเปลี่ยนแปลงของอวัยวะเพศ ซึ่งจะมีขนาดโตขึ้น และเปลี่ยนเป็นแบบผู้ใหญ่ มีขนขึ้นบริเวณอวัยวะเพศ มีกลิ่นตัว มีสิวขึ้น
2. พัฒนาการทางจิตใจ (Psychological Development) สติปัญญา(Intellectual Development) วัยนี้สติปัญญาจะพัฒนาสูงขึ้น จนมีความคิดเป็นแบบรูปธรรม (Jean Piaget ใช้คำอธิบายว่า Formal Operation ซึ่งมีความหมายถึงความสามารถเรียนรู้ เข้าใจเหตุการณ์ต่างๆ ได้ลึกซึ้งขึ้นแบบ abstract thinking) มีความสามารถในการคิด วิเคราะห์ และสังเคราะห์ สิ่งต่างๆได้มากขึ้นตามลำดับจนเมื่อพ้นวัยรุ่นแล้ว จะมีความสามารถทางสติปัญญาได้เหมือนผู้ใหญ่ แต่ในช่วงระหว่างวัยรุ่นนี้ ยังอาจขาดความยั้งคิด มีความหุนหันพลันแล่น ขาดการไตร่ตรองให้รอบคอบ
ความคิดเกี่ยวกับตนเอง (Self Awareness) วัยนี้จะเริ่มมีความสามารถในการรับรู้ตนเองด้านต่างๆ ดังนี้ เอกลักษณ์ (identity) วัยรุ่นจะเริ่มแสดงออกถึงสิ่งตนเองชอบ สิ่งที่ตนเองถนัด ซึ่งจะแสดงถึงความเป็นตัวตนของเขาที่โดดเด่น ได้แก่ วิชาที่เขาชอบเรียน กีฬาที่ชอบเล่น งานอดิเรก การใช้เวลาว่างให้เกิดความเพลิดเพลิน กลุ่มเพื่อนที่ชอบและสนิทสนมด้วย โดยเขาจะเลือกคบคนที่มีส่วนคล้ายคลึงกัน หรือเข้ากันได้ และจะเกิดการเรียนรู้และถ่ายทอดแบบอย่างจากกลุ่มเพื่อนนี้เอง ทั้งแนวคิด ค่านิยม ระบบจริยธรรม การแสดงออกและการแก้ปัญหาในชีวิต จนสิ่งเหล่านี้กลายเป็นเอกลักษณ์ของตน และกลายเป็นบุคลิกภาพนั่นเอง สิ่งที่แสดงถึงเอกลักษณ์ตนเองยังมีอีกหลายด้าน ได้แก่ เอกลักษณ์ทางเพศ(sexual identity and sexual orientation) แฟชั่น ดารา นักร้อง การแต่งกาย ทางความเชื่อในศาสนา อาชีพ คติประจำใจ เป้าหมายในการดำเนินชีวิต ( Erik Erikson อธิบายว่าวัยรุ่นจะเกิดเอกลักษณ์ของตนในวัยนี้ ถ้าไม่เกิดจะมีความสับสนในตนเอง Identity VS Role confusion ) ภาพลักษณ์ของตนเอง (self image) คือการมองภาพของตนเอง ในด้านต่างๆ ได้แก่ หน้าตา รูปร่าง ความสวยความหล่อ ความพิการ ข้อดีข้อด้อยทางร่างกายของตนเอง วัยรุ่นจะสนใจหรือ ให้เวลาเกี่ยวกับรูปร่าง ผิวพรรณมากกว่าวัยอื่นๆ ถ้าตัวมีข้อด้อยกว่าคนอื่นก็จะเกิดความอับอาย การได้รับการยอมรับจากผู้อื่น (acceptance) วัยนี้ต้องการการยอมรับจากกลุ่มเพื่อนอย่างมาก การได้รับการยอมรับจะช่วยให้เกิดความรู้สึกมั่นคง ปลอดภัย เห็นคุณค่าของตนเอง มั่นใจตนเอง วัยนี้จึงมักอยากเด่นอยากดัง อยากให้มีคนรู้จักมากๆ ความภาคภูมิใจตนเอง (self esteem) เกิดจากการที่ตนเองเป็นที่ยอมรับของเพื่อนและคนอื่นๆได้ รู้สึกว่าตนเองมีคุณค่า เป็นคนดีและมีประโยชน์แก่ผู้อื่นได้ ทำอะไรได้สำเร็จ ความเป็นตัวของตัวเอง (independent) วัยนี้จะรักอิสระ เสรีภาพ ไม่ค่อยชอบอยู่ในกฎเกณฑ์กติกาใดๆ ชอบคิดเอง ทำเอง พึ่งตัวเอง เชื่อความคิดตนเอง มีปฏิกิริยาตอบโต้ผู้ใหญ่ที่บีบบังคับสูง ความอยากรู้อยากเห็นอยากลองจะมีสูงสุดในวัยนี้ ทำให้อาจเกิดพฤติกรรมเสี่ยงได้ง่ายถ้าวัยรุ่นขาดการยั้งคิดที่ดี การได้ทำอะไรด้วยตนเอง และทำได้สำเร็จจะช่วยให้วัยรุ่นมีความมั่นใจในตนเอง (self confidence) การควบคุมตนเอง (self control) วัยนี้จะเรียนรู้ที่จะควบคุมความคิด การรู้จักยั้งคิด การคิดให้เป็นระบบ เพื่อให้สามารถใช้ความคิดได้อย่างมีประสิทธิภาพและอยู่ร่วมกับผู้อื่นได้ อารมณ์ (mood) อารมณ์จะปั่นป่วน เปลี่ยนแปลงง่าย หงุดหงิดง่าย เครียดง่าย โกรธง่าย อาจเกิดอารมณ์ซึมเศร้าโดยไม่มีสาเหตุได้ง่าย อารมณ์ที่ไม่ดีเหล่านี้อาจทำให้เกิดพฤติกรรมเกเร ก้าวร้าว มีผลต่อการเรียนและการดำเนินชีวิต ในวัยรุ่นตอนต้น การควบคุมอารมณ์ยังไม่ค่อยดีนัก บางครั้งยังทำอะไรตามอารมณ์ตัวเองอยู่บ้าง แต่จะค่อยๆดีขึ้นเมื่ออายุมากขึ้น อารมณ์เพศวัยนี้จะมีมาก ทำให้มีความสนใจเรื่องทางเพศ หรือมีพฤติกรรมทางเพศ เช่น การสำเร็จความใคร่ด้วยตนเอง ซึ่งถือว่าเป็นเรื่องปกติในวัยนี้ แต่พฤติกรรมบางอย่างอาจเป็นปัญหา เช่น เบี่ยงเบนทางเพศ กามวิปริต หรือการมีเพศสัมพันธ์ในวัยรุ่น จริยธรรม (moral development) วัยนี้จะมีความคิดเชิงอุดมคติ สูง(idealism) เพราะเขาจะแยกแยะความผิดชอบชั่วดีได้แล้ว มีระบบมโนธรรมของตนเอง ต้องการให้เกิดความถูกต้อง ความชอบธรรมในสังคม ชอบช่วยเหลือผู้อื่น ต้องการเป็นคนดี เป็นที่ชื่นชอบของคนอื่น และจะรู้สึกอึดอัดคับข้องใจกับความไม่ถูกต้องในสังคม หรือในบ้าน แม้แต่พ่อแม่ของตนเองเขาก็เริ่มรู้สึกว่าไม่ได้ดีสมบูรณ์แบบเหมือนเมื่อก่อน อีกต่อไปแล้ว บางครั้งเขาจะแสดงออก วิพากษ์วิจารณ์พ่อแม่หรือ ครูอาจารย์ตรงๆอย่างรุนแรง การต่อต้าน ประท้วงจึงเกิดได้บ่อยในวัยนี้เมื่อวัยรุ่นเห็นการกระทำที่ไม่ถูกต้อง หรือมีการเอาเปรียบ เบียดเบียน ความไม่เสมอภาคกัน ในวัยรุ่นตอนต้นการควบคุมตนเองอาจยังไม่ดีนัก แต่เมื่อพ้นวัยรุ่นนี้ไป การควบคุมตนเองจะดีขึ้น จนเป็นระบบจริยธรรมที่สมบูรณ์เหมือนผู้ใหญ่3.พัฒนาการทางสังคม (Social Development) วัยนี้จะเริ่มห่างจากทางบ้าน ไม่ค่อยสนิทสนมคลุกคลีกับพ่อแม่พี่น้องเหมือนเดิม แต่จะสนใจเพื่อนมากกว่า จะใช้เวลากับเพื่อนนานๆ มีกิจกรรมนอกบ้านมาก ไม่อยากไปไหนกับทางบ้าน เริ่มมีความสนใจเพศตรงข้าม สนใจสังคมสิ่งแวดล้อม ปรับตัวเองให้เข้ากับกฎเกณฑ์กติกาของกลุ่มของสังคมได้ดีขึ้น มีความสามารถในทักษะสังคม การสื่อสารเจรจา การแก้ปัญหา การประนีประนอม การยืดหยุ่นโอนอ่อนผ่อนตามกัน และการทำงานร่วมกับผู้อื่น พัฒนาการทางสังคมที่ดีจะเป็นพื้นฐานมนุษยสัมพันธ์ที่ดี และบุคลิกภาพที่ดี การเรียนรู้สังคมจะช่วยให้ตนเองหาแนวทางการดำเนินชีวิตที่เหมาะกับตนเอง เลือกวิชาชีพที่เหมาะกับตน และมีสังคมสิ่งแวดล้อมที่ดีต่อตนเองในอนาคตต่อไป
เป้าหมายของการพัฒนาวัยรุ่น

1. ร่างกายที่แข็งแรง ปราศจากความบกพร่องทางกาย มีความสมบูรณ์ มีภูมิต้านทานโรคและปราศจากภาวะเสี่ยงต่อปัญหาทางกายต่างๆ
2. เอกลักษณ์แห่งตนเองดี บุคลิกภาพดี มีทักษะส่วนตัว และทักษะสังคมดีเอกลักษณ์ทางเพศ เพศการเรียนและอาชีพ ได้ตามศักยภาพของตน ตามความชอบความถนัด และความเป็นไปได้ ทำให้มีความพอใจต่อตนเอง การดำเนินชีวิต สอดคล้องกับความชอบความถนัด มีการผ่อนคลาย กีฬา งานอดิเรก มีความสุขได้โดยไม่เบียดเบียนคนอื่น มีการช่วยเหลือคนอื่นและสิ่งแวดล้อม มีมโนธรรมดี เป็นคนดี
3. มีการบริหารตนเองได้ดี สามารถบริหารจัดการตนเอง โดยไม่ต้องพึ่งพาผู้อื่น
4. มีความรับผิดชอบ มีความรับผิดชอบทั้งต่อตนเองต่อผู้อื่น ต่อประเทศชาติ และต่อสิ่งแวดล้อมได้ดี
5. มีมนุษยสัมพันธ์ กับคนอื่นได้ดี ปัญหาพฤติกรรมในวัยรุ่นปัญหาที่พบได้บ่อยในวัยรุ่น มีดังนี้ ปัญหาความสัมพันธ์กับพ่อแม่ วัยนี้จะแสดงพฤติกรรมที่แสดงความเป็นตัวของตัวเองค่อนข้างมาก การพูดจาไม่ค่อยเรียบร้อย อารมณ์แปรปรวนเปลี่ยนแปลงง่าย ความรับผิดชอบขึ้นๆลงๆ เอาแต่ใจตัวเอง ทำให้พ่อแม่ ผู้ปกครอง หรือครูอาจารย์หงุดหงิดไม่พอใจได้มากๆ ถ้าใช้วิธีการจัดการไม่ถูกต้อง เช่น ใช้วิธีดุด่าว่ากล่าว ตำหนิ หรือลงโทษรุนแรง จะเกิดปฏิกิริยาต่อต้าน เป็นอารมณ์ต่อกัน ไม่ได้ช่วยเปลี่ยนแปลงพฤติกรรมวัยรุ่น วิธีการจัดการกับปัญหาพฤติกรรมเหล่านี้ เริ่มต้นจากการทำความเข้าใจความต้องการของวัยรุ่น มีการตอบสนองโดยประนีประนอมยืดหยุ่น แต่ก็ยังคงมีขอบเขตพอสมควร พยายามจูงใจให้ร่วมมือมากกว่าการบังคับกันตรงๆหรือรุนแรง สร้างความสัมพันธ์ที่ดีไว้ก่อน อย่าหงุดหงิดกับพฤติกรรมเล็กๆน้อยๆ ปัญหาการใช้สารเสพติด (substance use disorders) ตามธรรมชาติของวัยรุ่นจะมีความอยากรู้อยากเห็นอยากลองมาก ถ้าขาดการยับยั้งชั่งใจด้วย การที่อยู่ในกลุ่มที่ใช้สารเสพติด หรือเพื่อนใช้สารเสพติด จะมีการชักชวนให้ใช้ร่วมกัน บางคนไม่กล้าปฏิเสธเพื่อน บางคนใช้เพื่อให้เหมือนเพื่อนๆ เมื่อลองแล้วเกิดความพอใจก็จะติดได้ง่าย

ปัญหาทางเพศ(Sexual Problems) พฤติกรรมรักร่วมเพศ (homosexualism) เป็นพฤติกรรมที่จะทำให้เกิดปํญหาตามมาได้มาก คนที่เป็นรักร่วมเพศมักจะเจอปัญหาในการดำเนินชีวิตได้มากกว่าคนทั่วไป ในบางสังคมมีการต่อต้านพฤติกรรมรักร่วมเพศ มีการรังเกียจ ล้อเลียน ไม่ยอมรับ บางประเทศมีกฎหมายลงโทษการมีเพศสัมพันธ์ระหว่างเพศเดียวกันเอง รักร่วมเพศ คือพฤติกรรมที่พึงพอใจทางเพศกับเพศเดียวกัน อาจมีการแสดงออกภายนอกให้เห็นชัดเจนหรือไม่ก็ได้ การรักษาผู้ที่เป็นรักร่วมเพศ มักไม่ได้ผล เนื่องจากผู้ที่เป็นรักร่วมเพศมักจะพอใจในลักษณะแบบนี้อยู่แล้ว การช่วยเหลือทำได้โดยการให้คำปรึกษาผู้ที่เป็นพ่อแม่ และผู้ป่วย เพื่อให้ปรับตัวได้ ไม่รังเกียจลูกที่เป็นแบบนี้ และผู้ป่วยแสดงออกเหมาะสม ไม่มากเกินไปจนมีการรังเกียจต่อต้านจากคนใกล้ชิด การป้องกันภาวะรักร่วมเพศ ทำได้โดยการส่งเสริมความสัมพันธ์ระหว่างพ่อแม่เพศเดียวกับเด็ก เพื่อให้มีการถ่ายทอดแบบอย่างทางเพศจากพ่อหรือแม่เพศเดียวกับเด็ก การสำเร็จความใคร่ด้วยตนเอง (masturbation) ในวัยรุ่นการสำเร็จความใคร่ด้วยตนเองเป็นพฤติกรรมปกติ ไม่มีอันตราย ไม่มีผลเสียต่อร่างกายหรือจิตใจ การทำไม่ควรหมกมุ่นมากจนเป็นปัญหาต่อการใช้เวลาที่ควรทำ หรือทำให้ขาดกิจกรรมที่เป็นประโยชน์อื่นๆ การมีเพศสัมพันธ์ในวัยรุ่น (sexual relationship) มักเกิดจากวัยรุ่นที่ขาดการยับยั้งชั่งใจ หรือมีปัญหาทางอารมณ์ และใช้เพศสัมพันธ์เป็นการทดแทน เพศสัมพันธ์ในวัยรุ่นมักไม่ได้ยั้งคิดให้รอบคอบ ขาดการไตร่ตรอง ทำตามอารมณ์เพศ หรืออยู่ภายใต้ฤทธิ์ของสารเสพติด ทำให้เกิดปัญหาการติดโรคติดต่อทางเพศสัมพันธ์ การตั้งครรภ์ การทำแท้ง การเลี้ยงลูกที่ไม่ถูกต้อง ปัญหาครอบครัว และกลายเป็นปัญหาสังคมในที่สุด ปัญหาบุคลิกภาพ (personality problems) วัยรุ่นจะเป็นวัยที่มีพัฒนาการของบุคลิกภาพอย่างชัดเจน ทั้งนิสัยใจคอ การคิด การกระทำ จะเป็นรูปแบบที่สม่ำเสมอ จนสามารถคาดการณ์ได้ว่าในเหตุการณ์แบบนี้ เขาจะแสดงออกอย่างไร ถ้าการเรียนรู้ที่ผ่านมาดี วัยรุ่นจะมีบุคลิกภาพดีด้วย แต่ในทางตรงข้าม ถ้ามีปัญหาในชีวิต หรือเรียนรู้แบบผิดๆ จะกลายเป็นบุคลิกภาพที่เป็นปัญหา ปรับตัวเข้ากับคนอื่นได้น้อย เอาตัวเองเป็นศูนย์กลาง และจะติดตัวไปตลอดชีวิต ถ้าเป็นปัญหามากๆเรียกว่าบุคลิกภาพผิดปกติ (personality disorders) ความประพฤติผิดปกติ (conduct disorder) คือ โรคที่มีปัญหาพฤติกรรมกลุ่มที่ทำให้ผู้อื่นเดือดร้อน โดยตนเองพอใจ ได้แก่ การละเมิดสิทธิผู้อื่น การขโมย ฉ้อโกง ตีชิงวิ่งราว ทำร้ายผู้อื่น ทำลายข้าวของ เกเร หรือละเมิดกฎเกณฑ์ของหมู่คณะหรือสังคม การหนีเรียน ไม่กลับบ้าน หนีเที่ยว โกหก หลอกลวง ล่วงเกินทางเพศ การใช้สารเสพติด อาการดังกล่าวนี้มักจะเกิดขึ้นต่อเนื่องมานานพอสมควร สัมพันธ์กันปัญหาในครอบครัว การเลี้ยงดู ปัญหาอารมณ์ การรักษาควรรีบทำทันที เพราะการปล่อยไว้นาน จะยิ่งเรื้อรังรักษายาก และกลายเป็นบุคลิกภาพแบบอันธพาล (antisocial personality disorder)การป้องกันปัญหาวัยรุ่น

1. การเลี้ยงดูอย่างถูกต้อง ให้ความรักความอบอุ่น
2. การฝึกให้รู้จักระเบียบวินัย การควบคุมตัวเอง
3. การฝึกทักษะชีวิต ให้แก้ไขปัญหาได้ถูกต้อง มีทักษะในการปฏิเสธสิ่งที่ไม่ถูกต้อง
4. การสอนให้เด็กรู้จักคบเพื่อน ทักษะสังคมดี
5. การฝึกให้เด็กมีเอกลักษณ์เป็นของตนเอง

9 เทคนิคฝึกสมองไบรท์

1.จิบน้ำบ่อยๆ (Drink water very often) สมองประกอบด้วยน้ำ 85 % เชลล์สมองก็เหมือนต้นไม้ที่ ต้องการน้ำหล่อเลี้ยง ถ้าไม่มีน้ำ ต้นไม้ก็เหี่ยว ถ้าไม่อยากให้เชลล์สมองเหี่ยว ซึ่งส่งผลให้การส่งข้อมูลช้า กลายเป็นคนคิดช้าหรือคิดไม่ค่อยออก แต่ละวันจึงควรดื่มน้ำบ่อยๆ
2. กินไขมันดี (Enjoy good Omega 3) คนไม่ค่อยรู้ว่าสมองคือก้อนไขมัน ซึ่งจำเป็นต้องมีไขมันดีไปทดแทนส่วนที่สึกหรอ แนะนำให้กินไขมันดีระหว่างวัน จำพวกน้ำมันปลา สารสกัดใบแปะก๊วยปลาที่มีไขมันดีอย่าง ปลาแซลมอน นมถั่วเหลือง วิตามินรวม น้ำมันพริมโรสเป็นน้ำมันดี ที่ทำให้เชลล์ชุ่มน้ำ ส่วนวิตามินซีกินแล้วสดชื่น
3.นั่งสมาธิ วันละ 12 นาที (Meditation 12 min a day) หลังจากตื่นนอนแล้ว ให้ตั้งสติและนั่งสมาธิทุกเช้า วันละ 12 นาที เพื่อให้สมองเข้าสู่ช่วงที่มีคลื่น Theta ซึ่งเป็นคลื่นที่ผ่อนคลายสุดๆ ทำให้สมองมี Mental Imagery สามารถ จินตนาการเห็นภาพและมีความคิดสร้างสรรค์( ถ้าทำไม่ ได้ตอนเช้า) ให้หัดทำก่อนนอนทุกวัน
4.ใส่ความตั้งใจ (Program the brain: have specific intention) การตั้งใจในสิ่งใดก็ตาม เหมือนการโปรแกรมสมองว่านี่คือสิ่งที่ต้องเกิด ระหว่างวันสมองจะปรับพฤติกรรมเราให้ไปสู่เป้าหมายนั้น ทำให้ประสบความสำเร็จในสิ่งต่างๆ เพราะสมองไม่แยกระหว่างสิ่งที่ทำจริงกับสิ่งที่คิดขึ้น ทั้งสองอย่างจึงเป็นเสมือนสิ่งเดียวกัน
5.หัวเราะและยิ้มบ่อยๆ (Laugh and Smile) ทุกครั้งที่ยิ้มหรือหัวเราะ จะมีสารเอ็นโดรฟินซึ่งเป็นสารแห่งความสุข หลั่งออกมาเท่ากับเป็นการกระตุ้น ให้มีความอยากรักและหวังดีต่อคนอื่นไปเรื่อยๆ
6.เรียนรู้สิ่งใหม่ทุกวัน (Learn new thing everyday) สิ่งใหม่ในที่นี้หมายถึง สิ่งต่างๆที่เกิดขึ้นในชีวิตประจำวัน เช่น กินอาหารร้านใหม่ๆ รู้จักเพื่อนใหม่ อ่านหนังสือเล่มใหม่ คุยกับเพื่อนร่วมงานและเรียนรู้วิธีการทำงานของเขา เป็นต้น เพราะการเรียนรู้สิ่งใหม่ทำให้สมองหลั่งสารเอ็นโดรฟิน และโดปามีน ซึ่งเป็นสารแห่งการเรียนรู้ กระตุ้นให้อยากเรียนรู้และสร้างสรรค์ ไปเรื่อยๆเมื่อมีความสุขก็ทำให้มีความคิดสร้างสรรค์
7.ให้อภัยตัวเองทุกวัน (Forgive yourself, reduce brain stress) ขณะที่การไม่ให้อภัยตัวเอง โกรธคนอื่น โกรธตัวเอง ทำให้เปลืองพลังงานสมอง การให้อภัยตัวเอง เป็นการลดภาระของสมอง

8.เขียนบันทึก Graceful Journal (Write graceful journal, good things inlife every day) ฝึกเขียนขอบคุณสิ่งดีๆ ที่เกิดขึ้นแต่ละวันลงในสมุดบันทึก เช่น ขอบคุณที่มีครอบครัวที่ดี ขอบคุณที่มีสุขภาพที่ดี ขอบคุณที่มีอาชีพที่ทำให้มีความสุข เป็นต้น เพราะการเขียนเรื่องดีๆ ทำให้สมองคิดเชิงบวก พร้อมกับหลั่งสารเคมีที่ดีออกมา ช่วยให้หลับฝันดี ตื่นมาทำสมาธิได้ง่าย มีความคิดสร้างสรรค์
9.ฝึกหายใจลึกๆ (Deep breath) สมองใช้ออกชิเจน 20 25 % ของออกชิเจนที่เข้าสู่ร่างกาย การฝึกหายใจเข้าลึกๆ จึงเป็นการส่งพลังงานที่ดีไปยังสมอง ควรนั่งหลังตรงเพื่อให้ออกชิเจนเข้าสู่ร่างกายได้มากขึ้น ถ้านั่งทำงานนานๆ อาจหาเวลายืนหรือเดินยึดเส้นยืดสายเพื่อให้ปอดขยายใหญ่ สามารถหายใจเอาออกชิเจนเข้าปอดได้เพิ่มขึ้นอีก 20 %การ มีสมองที่ดีก็เหมือนทักษะทุกอย่างในโลกที่เรียนรู้ได้ แต่จะเก่งหรือไม่นั้น ขึ้นอยู่กับการฝึกฝน ถ้าเราดูแลและฝึกฝนสมองให้ดี คุณภาพชีวิตก็จะดีตาม

ปัสสาวะอย่างไรให้ถูกวิธี


หลายคนอาจจะสงสัยว่าการขับถ่ายปัสสาวะทำไมถึงต้องมาเรียนรู้เพราะว่าทุกคนก็ขับถ่ายมาตั้งแต่เกิด จริงๆ แล้วปัสสาวะสามารถแสดงถึงความผิดปกติของร่างกายที่สำคัญ ดังนั้นในวันนี้เรามาเรียนรู้การขับถ่ายปัสสาวะอย่างถูกวิธีกันเถอะ
1. อย่ากลั้นปัสสาวะโดยเด็ดขาด เมื่อรู้สึกปวดต้องไปปัสสาวะทันที
2.เวลาปัสสาวะไม่ควรรีบร้อนเบ่งมาก เพราะอาจทำให้หูรูดชำรุดได้
3. ควรถ่ายปัสสาวะให้หมดหรือให้เหลือน้อยที่สุดคือ เมื่อรู้สึกถ่ายหมดแล้วให้เบ่งต่ออีกนิดหน่อย ปัสสาวะที่เหลือจะไหลออกมา
4. ไม่ควรบังคับให้ตนเองถ่ายปัสสาวะบ่อย เพราะจะติดเป็นนิสัยหรือจะรู้สึกว่าปวดปัสสาวะตลอดเวลา ช่วงเวลาที่เหมาะสมคือประมาณ 2-4 ชั่วโมงควรถ่ายปัสสาวะหนึ่งครั้ง
5. ให้สังเกตการถ่ายปัสสาวะและน้ำปัสสาวะของตนเองทุกครั้ง เช่น ต้องเบ่งมากผิดปกติหรือไม่ น้ำปัสสาวะพุ่งดีหรือไม่ น้ำปัสสาวะมีสีเช่นไร เป็นต้น เพราะสิ่งเหล่านี้อาจเป็นอาการผิดปกติที่สามารถบ่งบอกความผิดปกติของร่างกาย ได้
6. หลังปัสสาวะควรใช้กระดาษชำระซับอวัยวะเพศให้แห้งทุกครั้ง หรืออาจจะล้างทำความสะอาดได้ แต่อย่าให้เปียกชื้น เพราะอาจเกิดเชื้อราได้
7. ถ้าปัสสาวะไม่ออก ต้องไปพบแพทย์ อย่าซื้อยารับประทานเพราะจะเกิดอันตรายได้
8. การบริหารอุ้งเชิงกรานโดยการขมิบ (ฝ่ายหญิงขมิบช่องคลอด ฝ่ายชายขมิบทวารหนัก) วันละ 100 ครั้ง จะช่วยป้องกันอาการปัสสาวะเล็ด
9. ควรดื่มน้ำสะอาด อย่างน้อยวันละ 10 แก้ว หรือหนึ่งลิตร จะช่วยให้น้ำปัสสาวะใส มีจำนวนพอดีและป้องกันภาวะปัสสาวะอักเสบ
10. ก่อนและหลังมีเพศสัมพันธ์ ผู้หญิงควรถ่ายปัสสาวะทิ้งจะช่วยป้องกัน การเกิดกระเพาะปัสสาวะอักเสบ
11. น้ำปัสสาวะจะต้องเป็นน้ำเท่านั้น ไม่ควรมีสิ่งอื่นเจือปน เช่น มูก หนอง น้ำเหลือง หรือเลือดถ้ามีถือว่าผิดปกติต้องไปพบแพทย์ทันที
12. การขับถ่ายปัสสาวะ ต้องไม่มีอาการเจ็บปวด ถ้าปัสสาวะแสบขัดลำบากต้องไปพบแพทย์ทันที 13. เราทุกคนควรต้องปัสสาวะอย่างน้อยวันละ 4-6 ครั้ง ถ้าไม่ปัสสาวะใน 1 วัน ถือว่าตกอยู่ในภาวะอันตราย ต้องไปพบแพทย์โดยด่วน ลองพิจารณาดูว่าตนเองมีพฤติกรรมการขับถ่ายปัสสาวะเช่นไรและปรับให้เหมาะสมเพื่อสุขภาพที่ดีของเราค่ะ

การดูแลเสื้อผ้าในหน้าฝน

เทคนิคดูแลเสื้อผ้าหน้าฝน (Twenty-Four Seven)
ปีนี้ฝนตกก่อนเข้าสู่ฤดูฝนเสียอีก หลายคนคงทนไม่ได้กับปัญหาเสื้อผ้าอับชื้น และยังเบื่อหน่ายกับการซักผ้า เรื่องสุขภาพฉบับนี้เราจึงอยากนำเสนอเทคนิคง่ายๆ ที่จะช่วยให้การดูแลเสื้อผ้าตัวโปรดของคุณสะอาดสดใสใหม่อยู่เสมอ เพราะการดูแลเสื้อผ้า และเนื้อผ้าก็เท่ากับว่าจะได้ผลทางอ้อมในการดูแลผิวนุ่มของคุณด้วย และหลากหลายเคล็ดลับจำง่ายนี้ ก็เป็นทางเลือกที่ดีในการซักผ้าสำหรับคุณ
ซักมือด้วยเครื่องซักผ้า
เชื่อหรือไม่ว่าเครื่องซักผ้าสมัยใหม่สามารถ "ซักมือ" ได้หลายคนอาจเคยเห็นว่าเสื้อผ้าบางประเภทมีสัญลักษณ์ระบุว่า ให้ซักด้วยมือ หมายความว่า ควรซักและตากแห้งอย่างนุ่มนวล ที่ระดับอุณหภูมิต่ำ เดิมเคยใช้วิธีซักด้วยมือ บีบน้ำออกเบาๆ แล้ววางบนพื้นเรียบเพื่อตากให้แห้ง แต่ด้วยโปรแกรมซักมือของเครื่องซักผ้า เครื่องจะทำการซัก ล้างน้ำเปล่า และปั่นแห้ง อย่างนุ่มนวลโดยใช้น้ำในปริมาณและอุณหภูมิที่เหมาะสม
ควรซักแห้งหรือไม่ซักแห้งดี
ก่อนอื่นขอให้เลือกน้ำยาซักแห้งที่ช่วยรักษาสิ่งแวดล้อม ซักแห้งเมื่อเสื้อผ้าสกปรกจริงๆ เท่านั้น เสื้อผ้าครึ่งหนึ่งแทบไม่จำเป็นต้องซักแห้งเลย เพียงตากลมแล้วนำมารีด หรือการใช้เครื่องอบผ้า นอกจากจะช่วยให้ผ้าคุณแห้งอย่างรวดเร็วแล้ว คุณยังจะได้ผ้าที่สะอาดนุ่มอีกด้วย
ถุงซักผ้าช่วยให้ซักได้ดี ในราคาที่ไม่แพง
เครื่องซักผ้าของคุณดีไหม? และชุดชั้นในถือเป็นสมบัติล้ำค่าของคุณหรือไม่? ถ้าใช่ ก็ควรใช้ถุงซักผ้า ซึ่งเป็นถุงตาข่ายไนล่อนใบเล็กมีซิปรูดปิด สำหรับชุดชั้นใน, กางเกงชั้นในผ้าไหม, กางเกงชั้นในลูกไม้, ถุงน่องไนล่อน หรือชุดนอน นอกจากนั้น ยังควรใส่เสื้อผ้าที่มีตะขอและซิปในถุงซักผ้า เพื่อกันไม่ให้ตะขอไปเกี่ยวเสื้อชุดอื่น ถุงซักผ้าช่วยปกป้องเสื้อผ้าขณะหมุนในถัง และปกป้องไม่ให้เกิดรอยขีดข่วนในถังซัก ถ้ามีลวดหรือวัสดุที่อาจทำให้เกิดรอยขีดข่วนลอยไปมาในถังคงไม่ดีแน่
จำเป็นต้องใช้น้ำยาปรับผ้านุ่มหรือไม่
น้ำยาปรับผ้านุ่มช่วยให้ผ้าที่ซักนุ่มขึ้น และช่วยลดไฟฟ้าสถิตลง หลังผ้าแห้งแล้วจะให้ความนุ่มหอมนาน ดังนั้นจึงควรใช้กับผ้าใยสังเคราะห์ และอาจมีประโยชน์สำหรับพื้นที่ที่มีน้ำกระด้าง
ทำอย่างไรผ้าจึงนุ่ม
หากลืมเรื่องน้ำยาปรับผ้านุ่ม เมื่อคุณจะทำการซักผ้าเช็ดตัวและเสื้อหนาวให้นุ่มขึ้นได้โดย นำไปใส่ลงในเครื่องอบผ้าแห้ง สองสามนาที หลังจากซักจากเครื่องเสร็จแล้ว จากนั้นอาจอบแห้งต่อในเครื่อง หรือนำไปตากให้แห้งก็ได้
ดูแลให้เสื้อชั้นในสตรีขาวสะอาด
ชุดชั้นในที่ทำจากผ้าใยสังเคราะห์สีขาวส่วนใหญ่มีการย้อมสีขาว เมื่อคุณใช้สารฟอกขาวซักสีขาวที่ย้อมไว้จะถูกกัดออกเป็นสีเทา ควรซักชุดชั้นในด้วยผงซักฟอกสำหรับผ้าสี ซึ่งไม่มีสารฟอกขาว
ลงทุนซื้อเครื่องซักผ้าที่ประหยัด พลังงาน
เครื่องซักผ้าและเครื่องอบผ้าทุกเครื่อง จะบอกระดับการประหยัดพลังงานจาก A ถึง G ตามระดับพลังงานที่ใช้ A+ เป็นระดับการประหยัดพลังงานสูงสุด วิธีนี้ยังช่วยรักษาสิ่งแวดล้อมได้ด้วย

กินไข่ให้เพียงพอ


น้อยกว่า 3 ฟองต่อสัปดาห์ ..... ไม่เพียงพอ การไม่ทานไข่อาจส่งผลเสียต่อเส้นประสาทสมองได้นะ ไข่ฟองเล็กๆ หนึ่งฟอง มีปริมาณวิตามินบี 12 ซึ่งดีต่อร่างกายมากกว่าปริมาณมาตรฐานที่แนะนำ ให้บริโภคต่อวันเสียอีก "วิตามินบี 12 จำเป็นต่อการสร้างเยื่อหุ้มป้องกันเส้นใยประสาท" อะแมนดา เออร์เซลล์ นักโภชนาการและผู้เขียนหนังสือ Complete Guide to Healing Foods กล่าว "ถ้าขาดวิตามิน เส้นใยประสาทอาจถูกทำลายจนฟื้นฟูกลับคืนมาไม่ได้" นอกจากนี้ ไข่ยังดีต่อสายตาคุณโดยเมื่อไม่นานมานี้มีผลการศึกษาจากอเมริกาที่ตีพิมพ์ในวารสาร Journal of Nutrition ได้ค้นพบว่า การทานไข่อย่างน้อย 3 ฟองต่อสัปดาห์จะช่วยป้องกันภาวะสูญเสียสายตาที่มักเกิดขึ้นเมื่ออายุเพิ่ม ขึ้นได้ เพราะสารลูทีนและซีแซนทีนซึ่งเป็นสารรงควัตถุในตระกูลแคโรทีนอยด์ ในไข่แดงจะช่วยบำรุงจอประสาทตานั่นเอง6 ฟองต่อสัปดาห์ ..... ปริมาณที่พอดี ไข่เจียวถือเป็นยาบำรุงร่างกายได้เลย เพราะนอกจากไข่จะช่วยให้ร่างกายคุณดูดซึมแคลเซียมได้ดีแล้ว ยังช่วยลดปัจจัยเสี่ยงในการเกิดโรคกระดูกพรุน แถมปริมาณสารซีลีเนียมและวิตามินอี ในไข่ยังช่วยป้องกันโรคหัวใจ ทั้งยังช่วยป้องกันไม่ให้คุณมีหุ่นกลมเป็นไข่อีกด้วย ผลวิจัยจากมหาวิทยาลัยหลุยส์เซียนาสเตท พบว่า คนที่ทานมื้อเช้าโดยมีไข่เป็นส่วนประกอบ จะลดน้ำหนักได้มากกว่าคนที่ไม่ทานไข่ในมื้อเช้าได้ถึง 65 เปอร์เซ็นต์ เมื่อบริโภคแคลอรี่ในปริมาณที่เท่ากัน "โปรตีน ในไข่จะทำให้คุณรู้สึกอิ่มขึ้น ถึง 50 เปอร์เซนต์ และยังทำให้คุณลดปริมาณมื้อเที่ยงที่ทานโดยเฉลี่ยได้อีก 164 แคลอรี่" นิคิล ดูเรนดาร์ ผู้เขียนงานวิจัยกล่าว แต่ถ้าคุณอยากสร้างกล้ามเนื้อก็ไม่ต้องกังวล เพราะงานวิจัยจากมหาวิทยาลัยเทกซัสเอแอนด์เอ็ม พบว่า การทานไข่วันละ 3 ฟอง เป็นเวลา 2 วัน ต่อสัปดาห์จะช่วยหนุ่มนักเล่นเวตทั้งหลายสร้างกล้ามเนื้อที่ปราศจากไขมันได้ เป็น 2 เท่าในช่วงเวลา 12 สัปดาห์ แล้วเรื่องคอเลสเตอรอลที่เล่าลือกันล่ะ "จริงค่ะ ไข่มีคอเรสเตอรอล" พาเมลา ไดสัน นักโภชนาการแห่งสมาคมโภชนาการประจำสหราชอาณาจักร กล่าว "แต่จัดว่ามี ผลน้อยมากต่อการเพิ่มระดับคอลเรสเตอรอลในเลือด เมื่อเทียบกับปริมาณไขมันอิ่มตัวที่คุณบริโภคอยู่ทุกวัน" นอกจากนี้ผลการวิจัยเมื่อไม่นานมานี้ ของมหาวิทยาลัยคอนเนติคัตยัง พบว่า การทานไข่ช่วยลดคอเรสเตอรอล LDL (ไม่ดี) เพิ่มคอเรสเตอรอล HDL (ดี) และลดปัจจัยเสี่ยงในการเกิดโรคหัวใจวายหรือโรคหลอดเลือดสมองได้
6 ฟองต่อสัปดาห์ ..... ปริมาณที่พอดี ตามรายงานที่ตีพิมพ์ใน วารสาร American Journal of Clinical Nutrution ไข่ที่ให้ผลดีต่อร่างกาย อาจส่งผลร้านได้เหมือนกัน ถ้าคุณทานมากกว่า 1 ฟองต่อวัน ติดกัน ทุกวัน "ขณะที่การทานไข่สูงสุด 6 ฟองต่อสัปดาห์ไม่ได้ทำให้มีอันตรายถึงชีวิต ในทางตรงกันข้ามการทานไข่ 7 ฟองหรือมากกว่านั้นภายใน 1 สัปดาห์ จะไปเพิ่มปัจจัยเสี่ยงที่ก่อให้เกิดอันตรายถึงชีวิตได้ 23 เปอร์เซนต์" ดร.ไมเคิล กาเซียโน แห่งคณะแพทยศาสตร์ของฮาร์วาร์ด ซึ่งเป็นผู้เขียนรายงานการวิจัย กล่าวว่า ที่สำคัญคือ สำหรับหนุ่มที่เป็นเบาหวานอยู่แล้ว ไข่อาจเพิ่มความเสี่ยงต่อการเสียชีวิตได้ ดังนั้นคำพูดที่ว่าทานไข่วันละฟองอาจทำให้คุณไม่ป่วยไข้และห่างไกลหมอ ข้อนี้เฉพาะในกรณีที่คุณตรวจสุขภาพเป็นประจำ และร่างกายแข็งแรงอยู่แล้วเท่านั้น

วันโอโชนโลก



โอโซนเป็นก๊าซสีน้ำเงินเข้ม พบได้ทั่วไปในบรรยากาศโลก และเป็นอันตรายต่อปอด หากเราหายใจเข้าไปมาก ๆ ก๊าซโอโซนที่อยู่ในบรรยากาศระดับสูงเรียกว่า ชั้นสตราโซเฟียร์ จะจับตัวกันเป็นก้อนโอโซนปกคลุมทั่วโลก ในบางแห่งจะหนา และบางในบางแห่งชั้นโอโซนจะทำหน้าที่ปกป้องโลกจากรังสีอัลตราไวโอเลตจากดวงอาทิตย์ ซึ่งรังสีนี้จะทำให้โลกร้อนขึ้น และทำให้เกิดอันตรายกับสิ่งมีชีวิต เช่น ทำให้คนและสัตว์เป็นมะเร็งผิวหนัง ตาเป็นต้อหรือมัวลง และทำให้เกิดการเปลียนแปลงของดีเอ็นเอ ซึ่งเป็นสารทีถ่ายทอดลักษณะทางพันธุกรรมในสิ่งมีชีวิต มีผลทำให้พืชและสัตว์กลายพันธ์ไปจากเดิม ตลอดจนเกิดการทำลายระบบภูมิคุ้มกันของมนุษย์ และทำลายจุลินทรีย์ต่างๆ ในปี ค.ศ 1974 มาริโอ โมลินา กับเพื่อนร่วมงานชื่อ เชอร์วุ้ด โรว์แลนด์ แห่งมหาวิทยาลัยแคลิฟอเนียร์ ได้ทำการวิจัยพบว่า สารชนิดหนึ่งชื่อว่า สาร CFCs คือตัวการทำลายชั้นโอโซนส่งผลให้เขาและเพื่อนได้รับรางวัลโนเบล สาขาเคมีปี ค.ศ 1995 ในฐานะผู้ค้นพบสาร CFCs เป็นคัวการทำลายชั้นบรรยากาศ
สาร CFCs มีชื่อทางการค้าว่า ฟรีรอน ซึ่งครั้งหนึ่งถือว่าเป็นสารมหัศจรรย์ เพราะไม่ติดไฟ ไม่เป็นพิษต่อผู้สูดดมเข้าไป ไม่ระคายเคืองต่อผิวหนัง จึงมีการนำมาใช้ในอุตสาหกรรมต่าง ๆ มากมาย เช่น ใช้เป็นสารทำให้เกิดความเย็น ในตู้เย็นและเครื่องปรับอากาศ ใช้ในอุตสาหกรรมการผลิตโฟม พลาสติก ใช้เป็นสารทำลายในอุตสาหกรรมอิเล็กทรอนิกส์ และใช้เป็นสารขับดันในสเปรย์กระป๋อง เช่น สีพ่น สเปรย์ฆ่าแมลง สเปรย์ฉีดผม และอื่นๆ อีกจำนวนมาก
การใช้สารกลุ่ม CFCs มีความสามารถทำลายชั้นบรรยากาศได้เพราะมีคลอรีน (chlorine) เป็นองค์ประกอบในโมเลกุล เมื่อสารนี้ลอยขึ้นไปสู่ชั้นสตราโตสเฟียร์และถูกรังสีอัลตราไวโอเลตจากดวงอาทิตย์ ก็จะแตกตัวทำให้เกิดคลอรีนอิสระ และคลอรีนนี้จะไปทำลายได้โอโซน ทำให้ไม่สามารถที่จะกั้นรังสีอัลตราไวโอเลตได้
ด้วยเหตุแห่งความรุนแรงของสาร CFCs ต่อโอโซนในบรรยากาศของโลก ทำให้ประเทศต่าง ๆ จำนวน 31 ประเทศ ได้ส่งตัวแทนไปประชุมกันที่เมือง มอนทรีออล ประเทศแคนนาดา ในเดือนกันยายน ค.ศ 1987 และได้ร่วมกันจัดตั้งอนุสัญญาเวียนนาว่าด้วยการป้องกันบรรยากาศชั้นโอโซน ซึ่งภายใต้อนุสัญญานี้ ได้มีการจัดทำพิธีสารมอนทรีออลขึ้น โดยระบุประเทศที่พัฒนาแล้วต้องเลิกผลิตและการใช้สารที่ทำลายชั้นโอโซน
พิธีสารมอนทรีออล มีผลบังคับใช้เมื่อวันที่ 1 มกราคม ค.ศ 1989 โดยประเทศไทยร่วมลงนามในพิธีสารนี้ เมื่อวันที่ 15 กันยายน ค.ศ 1988 และให้สัตยาบัน เมื่อวันที่ 7 กรกฎาคม ค.ศ 1989 และมีผลบังคับให้ต่อประเทศไทย เมื่อวันที่ 5 ตุลาคม ค.ศ 1989โดยประ จากผลของอนุสัญญาฯ องสค์การสหประชาชาติ จึงได้กำหนดให้วันที่ 16 กันยายนของทุกปี เป็น "วันโอโซนโลก" พิธีสารมอนทรีออล ได้มีการแก้ไขฉบับต่อ ๆ มา ซึ่งส่งผลต่อกระบวนการผลิต ในอุตสาหกรรมที่ใช้สารพวกนี้ เป็นอย่างมาก สำหรับประเทศไทย กรมโรงงานอุตสาหกรรมได้วางแผนการลดและเลิก ใช้สารทำลายโอโซน โดยคาดว่า ในปี ค.ศ 1998 ประเทศไทยจะสามารถเลิกใช้สารนี้ ได้เกือบทุกชนิด ยกเว้นการใช้สาร CFCs ในอุปกรณ์ห้องเย็น ตู้เย็น และเครื่องปรับอากาศ โดยเฉพาะในส่วนที่เกียวข้องกับการให้บริการเติมน้ำยาแอร์แก่อุปกรณ์เดิม คาดว่าจะเลิก ใช้ทั้งหมดภายในปี ค.ศ 2010 ตามพิธีสารฯ กำหนด

กินของหวานอย่าไรไม่ให้อ้วน


เคล็ดลับเลือกกินของหวานแบบไม่เพิ่มน้ำหนักให้กลุ้มใจ สาวๆ หลายคนชอบกินขนมเป็นชีวิตจิตใจ แต่จะกินอย่างไรถึงจะรักษารูปร่างได้เพรียวสวย เรามีเคล็ดวิธีเลือกกินของหวาน ด้วยเคล็ดลับง่ายๆ ที่สามารถทำได้ไม่ยากมาบอกต่อค่ะรู้ปริมาณแคลอรี ก่อนกินควรอ่านปริมาณแคลอรีในขนม โดยดูจากฉลากแสดงข้อมูลโภชนาการข้างกล่อง หากเป็นไปได้ควรเลือกกิน หรือซื้อชนิดที่มีไขมันเป็นส่วนประกอบน้อยที่สุดลดแคลอรี การตัดน้ำตาล ครีม ออกจากขนมก่อนกิน เช่น เกลี่ยน้ำตาลไอซิ่งที่โรยหน้าขนมปังออก หรือไม่ใส่กะทิในขนมหวาน จะลดพลังงานได้ถึง 81- 150 แคลอรี หรือเกลี่ยครีมหน้าขนมเค้กออก ลดพลังงานได้ถึง 160 แคลอรีควบคุมสัดส่วนการกิน กินอย่างละนิดพอให้รู้รสชาติ เช่น คุกกี้ 1-2 ชิ้น เค้ก 1 ส่วน 4/ชิ้นเล็ก ไอศกรีม 1 ลูก คุณจะได้ชิมรสขนมทั้งหมดโดยได้แคลอรีเพียงครึ่งเดียวดื่มชาเขียว หรือกาแฟร้อนหลังมื้อขนม กาเฟอีนจะช่วยกระตุ้นการเผาผลาญพลังงาน หากต้องการเพิ่มรสชาติให้ใส่น้ำตาลเทียมแทน 5 นาที หลังกินขนมหวานเสร็จอย่านั่งอยู่กับที่ออกไปเดินเล่นรอบบ้านๆ ประมาณ 15 นาที วิธีนี้นอกจากจะช่วยย่อยแล้ว ยังป้องกันไม่ให้ไขมันสะสมที่หน้าท้อง ต้นขา และสะโพกได้อีกด้วย30 นาที หลังกินของหวาน 5 ชั่วโมง ควรออกกำลังกายอย่างน้อย 30 นาที เพื่อกำจัดแป้งและน้ำตาลก่อนกลายเป็นไขมันสะสมตามส่วนต่างๆ ของร่างกาย โดยก่อนและหลังออกกำลังกาย ควรดื่มชาเขียวร้อนหรือน้ำอุ่นเพื่อเสริมระบบเผาผลาญควบคู่ไปด้วยงดแป้งและน้ำตาลในวันรุ่งขึ้น มื้อเช้าและกลางวันเน้นผัก 80% โปรตีน 20% ส่วนมื้อเย็นให้กินผักผลไม้สดและดื่มน้ำเปล่าทั้งวัน

วันพฤหัสบดีที่ 16 กันยายน พ.ศ. 2553

อาหารชีวจิต










การกิน ไม่ใช่กินอย่างไรให้อร่อย แต่เน้นเรื่อง “ กินดี ” เพื่อต้านโรค เพราะเล็งเห็นว่าคนยุคนี้มีโรคภัยมากมายเกาะกุมรุมเร้าอันมีสาเหตุมาจากอาหารการกิน... อาหารชีวจิต ผู้ใหญ่และวัยรุ่นยุคนี้คุ้นเคยกับอาหารจานด่วนมากกว่าน้ำพริกผักจิ้ม ส่วนเด็กยุคใหม่เรียกได้ว่าโตมาจากนมผงและอาหารจานด่วน แถมดูอ้วนท้วนสมบูรณ์แก้มกลมแสนน่ารัก แต่อนาคตทำนายได้ยากว่าจะรอดพ้นจากภัย โรคอ้วน เบาหวาน ความดันโลหิตสูง โรคหลอดเลือดตีบ โรคมะเร็งได้แค่ไหนสำหรับจุดประสงค์หลักของชีวจิตก็คือ ความสุขสมบูรณ์ทั้งกายและใจ โดยยึดเอาวิธีปฏิบัติและความคิดในแนวธรรมชาติเป็นหลัก ในด้านร่างกายและจิตใจนั้น ชีวจิตถือว่าเป็นอันหนึ่งอันเดียวกัน ร่างกายมีผลต่อจิตใจ และจิตใจก็มีผลต่อร่างกายด้วยความสุขสมบูรณ์ (Wholeness as Perfection) การปฏิบัติตามชีวจิตจะมุ่งไปในด้านการสร้างสุขภาพกายและใจก่อน โดยการใช้ อาหารสุขภาพ การใช้เครื่องมืออุปโภคที่มาจากธรรมชาติหรือใกล้กับธรรมชาติมากที่สุด ในขณะเดียวกันชีวิตความเป็นอยู่ก็ต้องไปตามธรรมชาติ คือใช้ชีวิตที่บริสุทธิ์และเรียบง่าย ชีวิตที่เป็นไปตามธรรมชาติจะเป็นชีวิตที่มีอายุยืน แข็งแรง มีความสุขสดชื่นตลอดเวลา เมื่อมีการปฏิบัติทางกายแล้วก็ต้องมีการปฏิบัติทางใจด้วย ในด้านจิตใจเป้าหมาย ที่สำคัญที่สุดคือความสงบทางกายซึ่งอาศัยธรรมชาติเป็นปัจจัยจะทำให้เกิดความสงบทางใจ เกิดปัญญา มองเห็นสัจธรรมของโลกและชีวิต จุดสูงสุดของสัจธรรมนี้คือ ความหลุดพ้น ซึ่งแต่ละคนย่อมมีหนทางและแนวทางเป็นของตนเองชีวจิต คืออะไร ชีวจิต คือ ร่างกายและจิตใจ เป็นวิถีการดำรงชีวิตและการบริโภคที่เน้นความเป็นธรรมชาติ มีพื้นฐานมาจากวิถีชีวิตแบบแมคโครไบโอติค ซึ่งมีการดัดแปลงให้สอดคล้องกับความเป็นอยู่แบบไทย ๆ อาหารชีวจิต เป็นการบริโภคพืชผัก ธัญพืชไม่ขัดสี ผักผลไม้สดตามฤดูกาลไม่ผ่านการปรุงแต่งพืชหัวไม่ปอกเปลือก ดื่มน้ำสะอาดและชาสมุนไพรหรือน้ำผลไม้ งดเนื้อสัตว์ทุกชนิด ยกเว้นปลาและอาหารทะเลบริโภคได้เป็นครั้งคราว งดน้ำตาลฟอกขาว กะทิ นม และไข่ การดำรงชีวิต อยู่ในที่อากาศบริสุทธิ์ไม่แออัด มีชีวิตเรียบง่าย ออกกำลังกายสม่ำเสมอ มีชีวิตที่ยัดธรรมชาติเป็นหลัก มีการฝึกสมาธิเป็นประจำ โดยภาพรวมแล้ว การปฏิบัติตามแนวชีวจิตจะมุ่งเน้นความมีสุขภาพดีทั้งกายและใจ และเข้าใกล้ธรรมชาติมากที่สุด ชีวจิต เป็นแนวความคิดต่อเรื่องสุขภาพแบบองค์วม(Holistic) คือผนวกรวมเอา "ชีว" ที่หมายถึง "กาย" รวมเข้ากับ "จิต" ที่หมายถึง "ใจ" ให้เป็นสองภาคของชีวิตที่มีผลต่อกันและกันโดยตรง ไม่อาจแยกกายออกจากจิต และจิตย่อมกระทบถึงกายเช่นเดียวกัน ความหมายและการปฏิบัติตัวตามแนวทางของชีวจิต จึงอาจอธิบายได้ว่า คนเราจะมีความสุขความแข็งแรงได้ก็ต่อเมื่อกายและใจทำงานเป็นอันหนึ่งอันเดียวกัน (Wholeness as Perfection)การใช้ชีวิตให้เป็นไปตามธรรมชาติ บริสุทธิ์ละเรียบง่าย เป็นแก่นความคิดสำคัญอีกประการหนึ่งของชีวจิต ใช้ชีวิตในที่นี้หมายรวมถึง การบริโภคอาหารสุขภาพที่มาจากธรรมชาติและมีการดัดแปลงน้อยที่สุด รวมถึงการบริโภคผลิตภัณฑ์ใดๆที่มาจากธรรมชาติหรือใกล้เคียงกับธรรมชาติมากที่สุด เพื่อให้ชีวิตหลุดพ้นจากความยุ่งเหยิงวุ่นวายของสังคมแบบวัตถุนิยมในปัจจุบัน ซึ่งเป็นสาเหตุของโรคสมัยใหม่นานัปการแนบเนื่องกับแนวปฎิบัติทางร่างกาย ต้องมีการปฏิบัติทางใจควบคู่ไปด้วย เป้าหมายของการฝึกจิตใจ เป็นไปเพื่อความสงบ เกิดปัญญา มองเห็นสัจธรรมของโลกและชีวิต ทั้งนี้การใช้ชีวิตและจิตใจให้เป็นไปตามแนวทางของชีวจิตไม่ใช่เรื่องยุ่งยากซับซ้อน ตรงข้ามกลับเป็นความพยายามทำชีวิตให้เรีบบง่ายที่สุด แจ่มใสและมีความกลมกลืนกับธรรมชาติมากที่สุดเท่าที่จะทำได้ เพื่อให้สุขภาพเกิดความสมดุลและกระตุ้นให้ ภูมิชีวิต (Immune System) ที่เป็นเกราะคุ้มกันสุขภาพตามธรรมชาติ ซึ่งมีอยู่ในมนุษย์ทุกคน ทำงานได้อย่างเต็มประสิทธิภาพ การจะตรวจสอบว่าตัวเองดำเนินชีวิตได้ใกล้เคียงกับแนวชีวจิตเพียงใด หรือบกพร่องไปเพียงใดนั้น อาจทดสอบได้จากหลักการของ FASJAMM ซึ่งว่าด้วยรูปแบบและอาการต่างๆทางกายและจิต ที่ทำให้บุคคลนั้นๆ มีสุขภาพกายและจิตแตกต่างกันไปจึงอาจพูดได้ว่า เมื่อระวังรักษาร่างกายให้แข็งแรงอยู่เสมอตามแนวคิดของชีวจิต ภูมิชีวิตซึ่งเป็นหมอภายในร่างกายของมนุษย์ก็ย่อมทำงานได้เต็มหน้าที่ เป็นเครื่องป้องกันด่านแรกที่คุ้มกันเราจากโรคทั้งปวง แต่เมื่อใดก็ตามหากเกิดเหตุสุดวิสัย มีโรคภัยไข้เจ็บเกิดกับร่างกาย การรักษาตามแนวทางของชีวจิต ยังคงยึดหลักของการเยียวยาแบบองค์รวม เช่นเดียวกับการป้องกันในเบื้องต้น วิธีบำบัดหลักๆของชีวจิต ได้ผสมผสานองค์ความรู้และวิธีการต่างๆ ดังต่อไปนี้1. ใช้ธรรมชาติเป็นยา2. ใช้อาหารเป็นยา 3. ใช้แนวทางการแพทย์แบบผสมผสาน o แผนปัจจุบัน Conventional , Orthodox , Allopathic o Wholistic (Holistic) o Macrobiotics o แบบจีนและการฝังเข็ม o อายุรเวทและโยคะ o สมุนไพร o การนวดกดจุด การนวดฝ่าเท้า และบริหารโดอิน o แบบอื่นๆ4. การบริหารและการออกกำลัง (ใช้แบบผสมผสาน) o โดอิน / โยคะ / นวดกดจุด o การยืด ส่ง และดัน o Chiropractic o การรำตะบอง

อ่านหนังสือให้จำแม่น

อ่านหนังสือให้จำแม่น / เคล็ดลับให้เรียนเก่ง

อ่านหนังสืออย่างไรให้จำแม่น
โดยเคล็ดลับการทำความเข้าใจและจดจำบทเรียนนี้ เป็นเทคนิคง่ายๆ นักเรียนนักศึกษาสามารถนำไปปฏิบัติได้ทุกคน ขอแต่เพียงเข้าใจเคล็ดลับวิธีการเท่านั้นเอง หัวใจสำคัญของการทำความเข้าใจและจดจำบทเรียน คือ การหมั่นฝึกฝนตามขั้นตอนให้เกิดความเคยชินจนติดกลายเป็นนิสัยการอ่านเพื่อทำความเข้าใจนี้จะแตกต่างจากการอ่านเพียงเพื่อท่องจำ

1. เวลาอ่านบทเรียนหรือตำรา ให้อ่านอย่างตั้งใจ แต่ทว่าเราจะไม่อ่านไปเรื่อยๆ คือเราจะหยุดอ่านเมื่อจบย่อหน้าหรือหยุดเมื่ออ่านไปได้พอสมควรแล้ว
2. จากนั้นให้ปิดหนังสือ แล้วลองอธิบายสิ่งที่ตนเองได้อ่านมาให้ตัวเองฟังคือ เราสามารถอธิบายให้ตัวเองฟังด้วยภาษาสำนวนของเราเอง ฟังแล้วเข้าใจหรือเปล่า หากเราสามารถอธิบายให้ตัวเองฟังรู้เรื่อง แสดงว่าเราเข้าใจแล้ว ให้อ่านต่อไปได้
3. หากตอนใดเราอ่านแล้ว แต่ไม่สามารถอธิบายให้ตัวเองรู้เรื่อง แสดงว่ายังไม่เข้าใจ ให้กลับไปอ่านทบทวนใหม่อีกครั้ง
4. หากเราพยายามอ่านหลายรอบแล้ว แต่ยังไม่เข้าใจจริงๆให้จดโน้ตไว้เพื่อนำไปถามอาจารย์ จากนั้นให้อ่านต่อไป
5. ข้อมูลบางอย่างในตำราจำเป็นที่จะต้องท่องจำ เช่น ตัวเลข สถิติ ชื่อสถานที่ บุคคล หรือ สูตรต่างๆ ฯลฯ ก็ควรท่องจำไว้ด้วย เพื่อทำให้เกิดความเข้าใจ ที่ชัดเจนยิ่งขึ้น
6. การเรียนด้วยวิธีท่องจำ โดยปราศจากความเข้าใจ เรียนไปก็ลืมไป สูญเสียเวลาเปล่าประโยชน์ เสียเงินทอง
7. การเรียนที่เน้นแต่ความเข้าใจ โดยไม่ยอมท่องจำ ก็จะทำให้เราเข้าใจเรื่องต่างๆไม่ชัดเจน คลุมเครือ
8. ดังนั้นควรมีเทคนิคง่ายๆ สั้นๆ ดังต่อไปนี้
ก.ให้อ่านหนังสือ สลับกับ การอธิบายให้ตัวเองฟัง
ข.ให้ท่องจำเฉพาะข้อมูลที่จำเป็นต้องจำจริงๆ เช่น ตัวเลข ชื่อเฉพาะต่างๆ

เคล็ดลับการเรียนเก่ง

สรุปเคล็ดลับ การเรียนเก่ง....ไม่ได้ว่าเองนะ สอบถามจากคนที่เขาเรียนเก่งๆ หลายๆ คนค่ะ

1.คุมเวลาตื่นนอนให้ได้ทุกวันก่อน
เช่น ตื่น 6 โมงเช้านอน 4 ทุ่ม ซัก 1 เดือนติดต่อกัน ให้ได้ก่อนค่อยมาว่าจะอ่านหนังสือ เพราะจะเป็นการจัดระบบมันสมองใด้อย่างดีเยี่ยม และจะรู้สึกว่าสมองมีพลังในการรับรู้ ถ้าทำข้อนี้ไม่ได้ อย่าคิดว่าจะเรียนให้ดีได้ยาก
2. หลักการอ่านหนังสือใด ๆ ไม่จำเป็นต้องอ่านทีละนาน ๆ
เช่นตั้งไว้ว่า วันหนึ่ง เราจะ อ่านซัก 1 - 2 ชม.ก็เกินพอ แต่สำคัญอยู่ที่ความต่อเนื่อง ถ้ายังบังคับตัวเองไม่อยู่ ข้อ 1. ก็เป็นการฝึกบังคับอย่างนึงแล้ว ต้องอ่านทุกวัน ไม่มีวันหยุด
3. ที่ว่า 1 -2 ชม.นั้นต้องรู้ว่าตัวเองเราสามารถรับได้ครั้งละเท่าไร
อ่านวันละ 2 ชม. แต่แบ่ง เป็น 4 ยก ครั้งละ 25 - 30 นาที และพัก 5- 10 นาที
4. อ่านจบวันนึง ๆ ต้องมีสรุปแบบเล่มยาว ๆ เลยนะ
สรุปสั้น ๆ ว่าวันนี้ได้อะไรบ้าง สูตรอะไร ๆ หรือความเข้าใจอะไร
5. ถึงตอนนอนให้นั่งสมาธิซัก 5 นาทีพอรู้สึกใจเริ่มนิ่ง ให้นึกที่เราสรุปไว้ในข้อ 4
ถ้านึกไม่ออกแสดงว่าสมาธิตอนอ่านหนังสือไม่ดี ให้เปิดไฟ ลุกออกไปดูที่สรุปใหม่ แล้วนึกใหม่
6. ต้องรู้วิธีเรียนในแต่ละวิชา
เช่น คณิต + ฟิสิกส์ เน้นความเข้าใจเป็นอันดับ 1 เคมี เน้น เข้าใจ + ท่องจำบางอย่าง เช่น ตารางธาตุ ถ้าท่องยังไม่ได้แสดงว่าไม่เข้าใจว่ามันจำเป็นต้องจำ อังกฤษ เป็นเรื่องทักษะ ต้องใช้บ่อย ๆ เวลาจะทำอะไรก็นึกเป็นภาษาอังกฤษบ้าง เช่นนึกจะทักเพื่อนว่าไปไหน ก็นึกว่า where do you go .? เป็นต้น แล้วก็ต้องเข้าใจ เป็นภาษาต่างด้าวยังมีคำหรือสำนวนที่เราไม่เข้าใจอีกเยอะ ดังนั้นเรื่องศัพท์ต้องรู้เยอะ ๆ เวลาจะไปดูหนัง Entertain กันทั้งที ก็เลือกดูเรื่องที่เขามีแต่ sub title เป็นภาษาอังกฤษ
7. วิธีเรียนพวกวิชาที่ใช้ความเข้าใจ
อันดับแรกต้องรีบศึกษาเนื้อหาทั้งหมดให้จบอย่างรวดเร็ว ถามว่าอ่านจากไหน อย่ามองไกล แบบเรียนนั่นล่ะ อย่าเพิ่งไปมองพวกคู่มือ ถ้าเราอ่านแบบเรียนไม่รู้เรื่อง ก็อย่าไปหวังจะดูตำราอื่นเลย จากนั้นให้รีบหา แบบฝึกหัด มาทำในแบบเรียนนั่นล่ะให้ได้หมดก่อน จากนั้นค่อย เสาะหาตำราคู่มือที่คิดว่าเราดี อ่านแล้วเข้าใจอีกซักเล่มนึงมา อ่านเนื้อหาให้หมด อีกที แล้วทำแบบฝึกหัดในเล่มนั้นให้จบหมด . สำคัญคือความตั้งใจนะคะ ต้องเข้าใจว่าเรา มีความรู้ในบทนั้น ๆ จบแล้ว ทำไมยังทำโจทย์บางข้อไม่ได้ พยายามคิด สดท้ายไม่ออก ก็ดูเฉลย แล้วต้องตอบตัวเอง ให้ได้ว่าเราโง่ตรงไหน ทำไมทำไม่ได้ โจทย์ข้อนั้น ๆ เป็นเทคนิคเฉพาะหรือเปล่า ต่อไป ก็เสาะหาพวกข้อสอบต่าง ๆ มาให้เยอะที่สุดเท่าที่จะทำได้ แล้ว ก็ ทำ ๆ ๆ จนเกิดรู้สึกว่า บรรลุ !!! ในเรื่องนั้น ๆ มันเป็นความรู้สึกคล้าย ๆ สำเร็จเป็นผู้วิเศษอะไรทำนองนั้น หรือฝึกวิทยายุทธสำเร็จแบบนั้น มองโจทย์ปุ๊บ จะเกิดความคิด แปร๊บ ๆ ขึ้นมานึกออกทะลุหมด เมื่อนั้นรู้สึกแบบนี้เมื่อไร ให้รีบสรุปเนื้อหาบทนั้น ๆ ออกมา ในกระดาษขนาดประมาณ 2.5 นิ้ว คูณ 4 - 5 นิ้วใช้หน้าหลังเขียนให้พอให้ได้ใน 1 บทต่อ 1 แผ่น อาจจะมียกเว้นบางบท เช่น สถิติ อาจใช้ถึง 6 แผ่น หรือตรีโกณ 3 แผ่น ส่วนใหญ่ไม่เกินหรอกครับ. จากนั้นปาตำราบทนั้น ๆ ทิ้งไปเลย
. 8. สิ่งที่สำคัญที่สุดในการทำอะไรก็ตามที่
คือ ต้องมีความรู้ติดสมอง สามารถหยิบมาใช้การได้ทันทีครับ. ถ้าคิดจะเรียนเพื่อสอบนั่นก็แสดงว่า กำลังคิดผิดอย่างใหญ่หลวง เด็กสมัยใหมนี้ชอบคิดว่าเรียน ๆ ไปเพื่อสอบ สอบเสร็จก็เลิก นั่นเป็นเพราะผลพวงของระบบ แข่งในการศึกษาของไทยเราครับ. เด็กต้องสอบ Entrance เข้าต่อ ทำให้ไม่เกิดความรู้สึกในการใฝ่รู้ ต้องเข้าใจว่าเราเรียนหนังสือนี่ ต้องถือว่าไม่มีใครมาบังคับเรา เราเรียนเพื่อตัวเราเอง เพื่อพัมนาสมองเราเอง พัฒนา มุมมองความคิดต่าง ๆ เพื่อให้เราเป็นยอดคนเอง สามารถที่จะพึ่งตัวเองได้ทุกเมื่อ ไม่ว่าจะยังอยู่ในความดูแลของผู้ปกครองหรือหลุดจากอ้อมแขน บิดามารดาเมื่อไร ต้องสามารถที่จะกล้าคิดและทำ พึ่งตัวเอง ยังชีพตัวองในสังคมนี้ได้. ดังนั้น จากข้อ 7. เราต้องบันทึกความรู้ที่เรารู้แล้ว ให้เป็นความรู้ยาวนานติดสมอง โดยทำดังต่อไปนี้- ให้นึก ! โน๊ตย่อที่เราสรุปเอง อาทิตย์ละหน ติดต่อกัน ซัก 1 เดือนหรือ 4 อาทิตย์นึกนะคะ. ไม่ใช่เปิดดูถ้านึกไม่ออก แสดงว่าไม่ได้สรุปเองแล้วล่ะเปิดหนังสือ แล้วสรุปตามแหง ๆ จากนั้นให้ทิ้งห่างเป็น นึก 1 เดือนต่อครั้ง จนเริ่มรู้สึกเบื่อ เพราะนึกทะลุปรุโปร่งหมดแล้วให้เลิกค่ะ. ใกล้สอบค่อยว่ากันอีกที กระบวนการที่ว่านึกตั้งแต่ 1 อาทิตยืจนเลิกนึกนี่ คาดว่าไม่ตำกว่า 3 เดือนนะคะ ใครน้อยกว่านี้ แสดงว่าโกหกตัวเองชัวร์
9. กระบวนการสุดท้าย เป็นการเพิ่มพลังความมั่นใจในตัวเองซึ่งต้องกระทำติดต่อกันบ่อยๆ เรื่อยๆ คือกระบวนการสอบแข่งขัน

การล้างหน้าเพื่อผิวใส



เริ่มที่การล้างหน้าเพียงวันละ 2 ครั้งก็เพียงพอค่ะตื่นนอนตอนเช้าและอาบน้ำตอนเย็นก็เพียงพอ ไม่ควรล้างหน้าบ่อยครั้งเกินไปเพราะจะทำให้ผิวแห้ง ลอกได้ กรณีที่ผิวของคุณสกปรกจริง ๆ เช่น หลังเล่นกีฬา ทำสวน ทำไร่ ปลูกต้นไม้ หรือคุมงานก่อสร้าง ซ่อมแซมบ้าน ก็อาจจะเพิ่มการล้างหน้ารอบพิเศษอีกสักครั้งได้
ที่สำคัญ อย่าใช้น้ำอุ่นหรือน้ำร้อนล้างหน้านะคะเพราะจะทำให้ผิวแห้งและแลดูเหี่ยว ๆ อีกต่างหาก เวลาล้างก็ขอแค่ลูบไล้แต่เบามือ ไม่เช็ด ไม่ถู ถ้าใช้คลีนเซอร์หรือเอ็กซเทอร์นอลเช็ดหน้ากันตลบจนเกลี้ยงเกลา คงต้องเลิกนะคะเพราะจะทำให้ผิวถลอกลอกได้

คุณทราบไหมว่าชั้นขี้ไคลก็ คือชั้นหนังกำพร้าที่เกาะติดอยู่บนผิวหนังชั้นบนควบคู่ไปกับชั้นน้ำมันเคลือบผิว ทั้งขี้ไคล ทั้งน้ำมันไม่ใช่สิ่งสกปรกอย่างที่ใคร ๆ เข้าใจผิดนะคะ หากแต่เป็นเกราะที่คอยคุ้มครองปกป้องผิวหน้าจากฝุ่นละออง เชื้อโรคและสารเคมีไม่ให้ซึมผ่านลงไปทำร้ายผิวหากคุณเช็ดถู ล้างหน้าจนเกลี้ยง ชั้นน้ำมัน ชั้นขี้ไคลก็ไม่เหลือ ผิวหน้าของคุณก็ดั่งปราศจากเกราะ ขาดภูมิคุ้มกันตามธรรมชาติ เราจะพบว่าคนที่ล้างหน้าบ่อย ๆ ใช้น้ำยา ใช้โทนเนอร์เช็ดหน้า มักจะมีปัญหาผิวแห้ง ผิวแพ้ง่าย กลายเป็นผิวบอบบางโดนอะไรนิด อะไรหน่อยก็แพ้เป็นผื่นหรือคันได้

วิธีแก้ผิวแพ้ง่ายให้ใช้มาตรการ ยุ่งกับผิวให้น้อยที่สุด แล้วจะหายเองค่ะ แต่ถ้าคุณแต่งหน้า มีเครื่องสำอางค์รองพื้นเต็มใบหน้า หากเครื่องสำอางค์ไม่ได้กันน้ำ คุณก็สามารถเลือกใช้สบู่เจลใสอ่อน ๆ ของเบบี้หรือของผู้ใหญ่ก็ใช้ได้ เลือกประเภทที่ไม่มีฟอง ไม่มีน้ำหอมจะได้ไม่ระคายเคืองขึ้นมาอีกเวลาล้างก็แค่ เอาน้ำลูบ ไล้ ๆ เจลใสหรือโฟมที่ไม่มีฟองเหล่านี้เบา ๆ ทั่วหน้าแล้วล้างออกด้วยน้ำเปล่าอย่างเบามือ แค่นี้ก็สะอาดแล้วล่ะค่ะ

หลังล้างหน้าให้ซับเบา ๆ ไม่เช็ด ไม่ถูผิวจะได้ไม่หยาบกร้านและไม่ต้องใช้โทนเนอร์เช็ดหน้าหรอกนะคะ หากล้างหน้าเสร็จแล้ว คุณรู้สึกลื่น ๆ เหมือนไม่เกลี้ยง ซับหน้าเบา ๆ ด้วยผ้าขนหนู ไม่ต้องไปวิตกจริตว่ามันจะลงไปอุดตันทำให้เกิดสิวหรอกนะคะ ถ้าจะเป็นสิวก็เป็นเรื่องธรรมชาติที่เกิดจากฮอร์โมนเพศในตัวคุณเอง โดยสรุปแล้ว ให้ล้างหน้าเบา ๆ เช้าครั้งเย็นหน ใช้สบู่เหลว เจลใสหรือโฟมไร้ฟอง ลูบไล้เบา ๆ เอาแค่พอลื่น ๆ ไม่ต้องสะอาดเอี่ยมอ่องนะคะ แล้วก็ซับหน้าเบา ๆ ไม่ต้องเช็ด ไม่ต้องถู อะไรที่เคยใช้เช็ด ๆ ถู ๆ ผิวหน้า กลับบ้านไปโยนทิ้งได้เลยค่ะ

แมลงอนุรักษ์ในประเทศไทย

1.ด้วงกว่างดาว(Cheirotonus parryi Gray, วงศ์ Scarabaeidae)เป็นด้วงขนาดใหญ่ ตัวผู้มีขาหน้ายาวสวยงาม ตัวเมียขาหน้าสั้น ด้วงชนิดนี้พบทางภาคเหนือและภาคตะวันออก

2.ด้วงคีมยีราฟ(Chadagnathusgiraffa Fabricus, วงศ์ Lucanidae)พบที่ภาคเหนือและภาคตะวันออก ด้วงคีมหรือด้วงเขี้ยวกางในประเทศไทยมีหลายชนิดและมีรูปร่างแปลกสวยงามจึงมีการล่าจับกันมาก

3.ด้วงดินขอบทองแดง(Mouhotia batesi Lewis , วงศ์ Carabidae)ด้วงดินที่มีขนาดใหญ่ ตัวสีดำ แต่ขอบบริเวณส่วนอกมีเหลือบเป็นสีทองแดง พบที่ภาคกลาง ภาคตะวันออก และภาคตะวันออกเฉียงเหนือ

4.ด้วงดินปีกแผ่น( Mormolyce phyllodes Hegenb, วงศ์ Carabidae)ด้วงดินที่มีปีกหน้าแบนบางเป็นแผ่นทำให้ดูสวยและแปลก เป็นแมลงที่หายาก พบเฉพาะภาคใต้

5.ผีเสื้อกลางคืนค้างคาว( Lyssa zampa Butler, วงศ์ Uraniidae)ผีเสื้อกลางคืนขนาดใหญ่ บินเร็วคล้ายค้างคาว พบทุกภาค

6.ผีเสื้อกลางคืนหางยาว( Actiasspp. วงศ์ Saturniidae)ผีเสื้อขนาดใหญ่ปลายปีกหลังยาวลงมา ส่วนใหญ่มีสีเหลืองเนื่องจากมีขนาดใหญ่และสวยงามจึงมีการล่าจับกันมาก แมลงในสกุลนี้ที่พบแล้วในประเทศไทยมี 4 ชนิดคือผีเสื้อหางยาวตาเคียวปีกลายหยัก( Actias maenas Doubleday)ผีเสื้อหางยาวตาเคียวปีกลายตรง ( A. rhodopneuma Rober)ผีเสื้อหางยาวสี่ตาปีกลายตรง ( A.selene Huber)และผีเสื้อหางยาวปีกลายหยัก ( A.sinensis heterogyna Mell )

7.ผีเสื้อไกเซอร์( Teinopalpus spp. วงศ์ Papilionidae)เป็นแมลงอนุรักษ์ที่กำหนดไว้ในาบัญชีหมายเลข 2 ของอนุสัญญา CITES ในประเทศไทยมีชนิดเดียว คือผีเสื้อไกเซอร์ (Teinopalpus imperialisimperatrix de Niceville) พบที่ภาคเหนือ เฉพาะบนดอยผ้าห่มปก อำเภอฝาง จังหวัดเชียงใหม่ ชอบบินอยู่สูงเหนือยอดไม้ เป็นแมลงที่หายาก

8.ผีเสื้อถุงทอง( Troides spp. วงศ์ Papilionidae)เป็นแมลงอนุรักษ์ที่กำหนดไว้ในบัญชีหมายเลข 2 ของอนุสัญญา CITES ในประเทศไทยที่พบแล้วมีอยู่หลายชนิด เช่น ผีเสื้อถุงทองป่าสูง ( Troides helena Linnaeus) ผีเสื้อถุงทองปักษ์ใต้ ( T. amphrysus Cramer), ผีเสื้อถุงทองธรรมดา( T.aeacus Felder) ถึงแม้ว่าผีเสื้อถุงทองบางชนิดสามารถนำมาเลี้ยงได้ แต่ไม่ได้ทำการเพาะเลี้ยงขยายพันธุ์ในเชิงธุรกิจ

9.ผีเสื้อนางพญา( Stichophthalma sPP. วงศ์ Amathusiidae)เป็นผีเสื้อกลางวันที่มีขนาดใหญ่ที่สุดในประเทศไทย พบ 3 ชนิดคือ ผีเสื้อนางพญาพม่า( Stichopthalma louisa Wood-Mason), พบที่ภาคเหนือ ผีเสื้อนางพญาเขมร (S.cambodia Hewitson ) พบที่ภาคตะวันออก และผีเสื้อนาพญากอดเฟรย์ ( S.godfreyi Rothschild) พบที่ภาคใต้


10.ผีเสื่อภูฐาน( Bhutanitis spp. วงศ์ Papilionidae)เป็นแมลงอนุรักษ์ที่กำหนดไว้ในบัญชีหมายเลข 2 ของอนุสัญญา CITES ในประเทศไทยมีชนิดเดียวคือผีเสื้อภูฐาน หรือ ผีเสื้อเชียงดาว ( Bhutanitis lidderdalii Atkinson) แต่ในปัจจุบันไม่เคยพบอีก สันนิษฐานว่าคงสูญพันธุ์ไปจากประเทศไทยแล้ว

11.ผีเสื้อรักแร้ขาว( Papilio protenor euprotenor Fruhstorfer, วงศ์ Papilionidae)เป็นผีเสื้อหายากอีกชนิดหนึ่ง บริเวณขอบปีกหลังมีสีขาว พบแถบภาคกลาง

12.ผีเสื้อหางดาบตาลไหม้( Meandrusa gyas Westwood, วงศ์ Papilionidae )พบที่ภาคเหนือและภาคใต้ ตัวผู้และตัวเมียมีลักษณะแตกต่างกัน

13.ผีเสื้อหางติ่งสะพายเขียว( Papilio palinurus Fabricius, วงศ์ Papilionidae)มีสีสวยงามพบที่ภาคกลางและภาคใต้

แมลงทั้ง 13 รายการนี้เป็นสัตว์ป่าคุ้มครอง ได้ประกาศอยู่ในบัญชีท้ายกฎกระทรวงฉบับที่ 4 (พ.ศ.2537)ออกตามความในพระราชบัญญัติสงวนและคุ้มครองสัตว์ป่า พ.ศ.2535 และประกาศในราชกิจจานุเบกษา ฉบับกฤษฎีกาเล่ม 111 ตอนที่ 31ก ลงวันที่ 16 พฤศจิกายน 2537

วันศุกร์ที่ 10 กันยายน พ.ศ. 2553

กาแฟกับสุขภาพ







กาแฟได้ผสมผสานกับวัฒนธรรมของมนุษยชาติ จนกลายเป็นเครื่องดื่มทรงอิทธิพลและเป็นที่นิยมในปัจจุบัน จากการสำรวจพบว่า อเมริกันชนทั่วไปดื่มกาแฟเฉลี่ยวันละ 2.5 แก้ว แต่กลุ่มคนทำงานจะดื่มมากขึ้นเป็น 4 แก้วต่อวัน แต่ก็ยังมีคำถามที่ถกเถียงกันมาตลอดว่า กลไกของกาแฟออกฤทธิ์อย่างไรต่อร่างกายมนุษย์ และมีผลต่อสุขภาพอย่างไร

“กาเฟอีน” สารสำคัญในเมล็ดกาแฟ

นอกจากรสชาติและกลิ่นหอมเฉพาะตัวแล้ว กาแฟมีส่วนผสมที่สำคัญอีกอย่างที่เรียกว่า “กาเฟอีน” ซึ่งมีฤทธิ์ในการกระตุ้นระบบประสาทให้ตื่นตัว เมื่อกาเฟอีนถูกดูดซึมผ่านไปยังกระแสเลือดและไหลเวียนไปยังอวัยวะต่างๆ ทั่วร่างกาย จะเกิดการกระตุ้นการทำงานของหัวใจ หลอดเลือด รวมถึงสมองและระบบประสาท การดื่มกาแฟจึงเปรียบเสมือนการเติมพลังงานให้ร่างกายเกิดความตื่นตัวในการทำงานมากขึ้น โดยเฉพาะในยามที่ร่างกายรู้สึกอ่อนเพลียและต้องการพักผ่อน ซึ่งในเวลานั้นสมองของมนุษย์จะหลั่งสารสื่อประสาทติดต่อระหว่างเซลล์ประสาท ชื่อ “adenosine (อะ-ดิ-โน-ซีน)” ออกมา แต่พอเราดื่มกาแฟเข้าไป กาเฟอีนจะไปยับยั้งการทำงานของ adenosine ทำให้สมองเกิดอาการตื่นตัว ไม่ง่วงนอน นอกจากนี้กาเฟอีนยังมีผลต่อระบบขับถ่ายของเสียอีกด้วย

ผลต่อสุขภาพหัวใจและหลอดเลือด

คำถามเกี่ยวกับผลของกาแฟต่อระบบหัวใจและหลอดเลือดมีมานานกว่าศตวรรษ ขณะที่ผลจากการศึกษาในห้องปฏิบัติการพบว่า กาแฟมีผลทำให้ความดันโลหิตสูงขึ้น อย่างไรก็ตามผลดังกล่าวเกิดขึ้นเพียงระยะเวลาสั้นๆ 2-4 ชั่วโมงหลังดื่มกาแฟ ขณะที่การศึกษาผลเสียต่อความดันโลหิตในระยะยาวจากกาแฟกลับพบว่า ไม่ได้มีผลเสียอย่างที่หลายๆ คนคิด เนื่องจากร่างกายจะมีการปรับตัวให้เกิดเคยชินกับฤทธิ์ของสารกาเฟอีนได้ใน ระยะยาว การดื่มกาแฟจึงไม่มีผลต่อการเพิ่มความเสี่ยงในการเกิดความดันโลหิตสูงแต่อย่างใด ส่วนผลของกาแฟต่อการทำงานของหัวใจก็ได้มีการศึกษาเช่นเดียวกัน โดยนายแพทย์ Greenberg จากมหาวิทยาลัยนิวยอร์ก ซึ่งกล่าวว่า “ผมรู้ว่าหลายคนกลัวว่าการกระตุ้นการทำงานของหัวใจจากการดื่มกาแฟระยะยาวอาจ จะทำให้หัวใจเหนื่อยล้า จนอาจเกิดโรคหัวใจวายขึ้นสักวัน แต่ผลที่ได้กลับตรงกันข้ามคือคนที่ดื่มกาแฟในระยะยาวเป็นโรคหัวใจน้อยกว่าคนที่ไม่ได้ดื่มเป็นประจำ โดยเฉพาะในผู้ที่ดื่มกาแฟมากกว่า 2 แก้วต่อวัน” แม้ว่าผลลัพธ์ที่ได้อาจจะทำให้นักดื่มกาแฟกระโดดโลดเต้นด้วยความดีใจ แต่นี่เป็นเพียงการสำรวจเบื้องต้นเท่านั้น ที่สำคัญฤทธิ์กระตุ้นการทำงานของหัวใจและความดันระยะสั้นของกาแฟอาจทำให้ผู้ ที่มีโรคความดันโลหิตสูงที่ยังควบคุมได้ไม่ดี หรือผู้ป่วยโรคหลอดเลือดหัวใจตีบมีอาการกำเริบได้

ผลต่อระบบประสาทและสมอง

การเพิ่มความตื่นตัว คลายง่วง และเพิ่มพลังความคิดของกาแฟเป็นผลที่บุคคลหลากหลายอาชีพต้องการ ไม่ว่าจะเป็นนักศึกษาเตรียมสอบที่ต้องการอ่านหนังสือข้ามคืน แม่ค้าที่อยากให้ร่างกายกระปรี้กระเปร่าเวลาทำงาน หรือสถาปนิกที่อยากให้สมองโปร่งเพื่อคิดหาไอเดียใหม่ๆ แต่การดื่มกาแฟทำให้การตื่นตัวและประสิทธิภาพการทำงานของสมองดีขึ้นจริงหรือ การศึกษาโดยสถาบันวิจัยกองทัพแห่งสหรัฐอเมริกาได้พิสูจน์แล้วว่า กาแฟทำให้สมองมีความตื่นตัวและตอบสนองได้ฉับไวมากขึ้น แต่ผลต่อประสิทธิภาพการทำงานของสมองยังเป็นที่กังขาอยู่ นายแพทย์ Bennett Alan Weinberg ผู้แต่งหนังสือเรื่อง “โลกของกาเฟอีน” ได้กล่าวสรุปไว้ว่า “แม้ว่ากาแฟจะช่วยให้นักศึกษาจำนวนมาก อ่านหนังสือได้ทนทานขึ้นก็ตาม แต่ผลสรุปจากการทดลองต่างๆ ไม่ได้บ่งชี้ว่านักศึกษาเหล่านั้นมีความจำหรือการทำงานของสมองดีขึ้นแต่อย่างใด” คำกล่าวนี้เป็นการยืนยันว่า กาแฟเพียงแต่ทำให้หายง่วงนอนเท่านั้น ขณะที่ความจำและประสิทธิภาพสมองไม่ได้ดีขึ้นด้วยฤทธิ์ของกาแฟ นอกจากนี้การใช้กาแฟเพื่อลดอาการง่วงนอนในเวลากลางคืนอย่างต่อเนื่อง จะส่งผลให้ร่างกายและสมองที่ต้องการพักผ่อนทรุดโทรมลง ประสิทธิภาพการทำงานจึงลดลงในระยะยาว ยิ่งกว่านั้นในบางกรณีผู้ดื่มอาจจะมีอาการตอบสนองต่อกาแฟมากกว่าปกติ จนทำให้เกิดอาการใจสั่น หงุดหงิด กล้ามเนื้อเกร็งกระตุก เครียดง่าย เป็นต้น

ผลต่อการลดน้ำหนัก

ผู้หญิงส่วนใหญ่ใฝ่ฝันอยากมีรูปร่างดี อันหมายถึงทรวดทรงองค์เอวที่ผอมเพรียวจึงลดน้ำหนักสารพัดวิธี รวมถึงการใช้ยาหรือหลายคนอาจจะเคยได้ยินเรื่องกาแฟลดน้ำหนักมาบ้าง แล้วกาแฟช่วยลดน้ำหนักได้จริงหรือ กาแฟมีส่วนช่วยให้เกิดการเผาผลาญพลังงาน ผ่านการเปลี่ยนไขมันไปเป็นเชื้อเพลิงและกระตุ้นการทำงานของกล้ามเนื้อและร่างกาย ยิ่งกว่านั้นกาแฟยังช่วยลดความอยากอาหาร แต่ก็ยังเป็นเรื่องที่พิสูจน์ได้ยากว่า กาแฟช่วยลดน้ำหนัก

เด็กดื่มกาแฟปลอดภัยหรือไม่?

เด็กและวัยรุ่นเป็นวัยที่กำลังเปลี่ยนแปลงและเติบโตทั้งในด้านสรีระ สติปัญญาและสมอง แต่อิทธิพลของการโฆษณากาแฟที่มีให้เห็นอยู่มากมาย ทำให้เด็กและวัยรุ่นดื่มกาแฟเพิ่มขึ้น ก่อให้เกิดความกังวลตามมา จริงอยู่ที่เด็กจะมีการบริโภคเครื่องดื่มที่มีส่วนผสมของกาเฟอีนชนิดอื่น อย่างน้ำอัดลมโคล่า เครื่องดื่มช็อกโกแลตหรือโกโก้อยู่แล้ว แต่ในเครื่องดื่มเหล่านี้มีปริมาณกาเฟอีนน้อยกว่ากาแฟถึง 4 เท่า ดังนั้นการดื่มกาแฟเป็นประจำคงไม่เกิดผลดีต่อร่างกายของเด็ก ดังผลการเปรียบเทียบขนาดของร่างกายต่อระดับกาแฟที่ดื่มเข้าไปพบว่า กาแฟ 1 แก้วจะมีผลต่อเด็กมากกว่าผู้ใหญ่ รวมถึงมีผลการศึกษาพบด้วยว่า แม้กาแฟจะส่งผลให้เด็กมีความสนใจและจดจ่อในสิ่งที่ทำมากขึ้น แต่ก็ทำให้เกิดความเครียดเพิ่มขึ้นด้วยเช่นกัน

เมื่อยาคือกาแฟ

การค้นพบประสิทธิภาพในการรักษาโรคของกาแฟเกิดขึ้นโดยบังเอิญ จากการสังเกตของผู้ป่วยที่ดื่มกาแฟแล้วพบว่า กาแฟสามารถบรรเทาอาการป่วยของตนเองได้ โรคที่รู้จักกันดีว่าสามารถใช้กาแฟในการรักษาได้ คือ โรคปวดศีรษะไมเกรน และโรคหอบหืด รวมถึงยังเชื่อว่า กาแฟมีประสิทธิภาพในการป้องกันโรคพาร์กินสันได้ สาเหตุของไมเกรนเกิดจากประสาทส่วนกลางมีความไวผิดปกติ จนก่อให้เกิดอาการปวดจากการเต้นของเส้นเลือดที่เลี้ยงผิวเยื่อหุ้มสมอง ขณะที่สารกาเฟอีนในกาแฟมีความสามารถในการผ่านเข้าไปในสมองอย่างง่ายดาย แล้วออกฤทธิ์ให้เส้นเลือดที่กำลังขยายตัวอยู่หดตัว จึงช่วยลดอาการปวดศีรษะไมเกรนในระยะเฉียบพลันได้ ผลดังกล่าวจึงทำให้สารกาเฟอีน ที่อยู่ในกาแฟถูกนำมาใช้เป็นส่วนผสมของยาแก้ปวดไมเกรนในระยะเฉียบพลัน เช่นยา Ergotamine แต่ต้องมีการใช้อย่างระมัดระวัง เนื่องจากผลในการทำให้เส้นเลือดหดตัวนั้น อาจก่อให้เกิดผลเสียกับผู้ป่วยที่มีโรคหลอดเลือดหัวใจตีบได้ นอกจากนี้หากใช้ยาเกินสัปดาห์ละ 2 ครั้งเป็นระยะเวลาเกิน 1 เดือน ผลของยาจะทำให้สมองมีความไวสูงและเป็นผลให้เกิดอาการปวดศีรษะไมเกรนเรื้อรัง ยิ่งขึ้น ส่วนฤทธิ์ของกาเฟอีนในการขยายหลอดลม จนทำให้มีการใช้กาแฟรักษาโรคหอบหืดในสมัยก่อนนั้น ก็มีปัญหาคือต้องใช้กาแฟในปริมาณสูง จึงมักเกิดผลข้างเคียงต่อสมองเสียก่อน ประกอบกับในปัจจุบันมียารักษาโรคหอบหืดที่มีประสิทธิภาพดีและมีผลข้างเคียงน้อยกว่ากาเฟอีนมาก กาแฟจึงไม่ใช่ตัวเลือกที่ดีในการรักษาโรคหอบหืดอีกต่อไป สำหรับผลของกาแฟต่อโรคพาร์กินสันและโรคสมองเสื่อมนั้น เพิ่งมีรายงานอันน่าทึ่งออกมาว่า ผู้ที่ดื่มกาแฟมีอัตราการเกิดโรคพาร์กินสันและสมองเสื่อมน้อยกว่าผู้ที่ไม่ดื่มกาแฟ แม้ว่าข้อสรุปนี้ยังต้องได้รับการพิสูจน์ให้แน่ชัดต่อไป แต่ผลที่ได้ก็เป็นเหมือนกับความหวังใหม่ในการป้องกันโรคที่ยากต่อการรักษา

ผลเสียของการดื่มกาแฟ

แม้ว่ากาแฟจะมีผลดีมากมายดังที่ได้กล่าวมาแล้ว แต่ฤทธิ์ในการกระตุ้นระบบประสาทจะทำให้ผู้ป่วยที่มีระดับความเครียดที่สูงขึ้น การดื่มกาแฟจึงจะกระตุ้นให้คนที่มีความเครียดง่ายอยู่แล้วเกิดความเครียดมากยิ่งขึ้น นอกจากนี้ กาแฟยังเป็นสารเสพติดอ่อนๆ ชนิดหนึ่ง ร่างกายจึงเกิดอาการติดกาแฟหากว่าดื่มทุกวันเป็นเวลานานพอ และจะเกิดภาวะขาดกาแฟหากไม่ได้ดื่ม ซึ่งทำให้เกิดอาการอ่อนเพลีย ง่วงนอน ปวดเมื่อยกล้ามเนื้อ ไม่อยากทำงาน ซึมเศร้า ปวดศีรษะ อย่างไรก็ตาม ผลดังกล่าวไม่ได้เกิดขึ้นอย่างถาวร แต่จะค่อยๆ หายไปหลังหยุดกาแฟไม่เกิน 1-2 สัปดาห์