บรรยากาศแห่เทียนเข้าพรรษา

วันอาทิตย์ที่ 19 กันยายน พ.ศ. 2553

ยามหัศจรรย์

บัคกี้บอล…ยามหัศจรรย์แห่งยุคนาโน นาโนเทคโนโลยี บัคมินสเตอร์ฟูลเลอรีน(Buckminsterfullerene) หรือที่เรียกสั้นๆ ว่า บัคกี้บอล (Bucky ball) เป็นสารที่มีโครงสร้างโมเลกุลประกอบด้วยคาร์บอน 60 อะตอม (C60) เชื่อมต่อกันเป็นรูปทรงกลมคล้ายกับลูกฟุตบอล จัดเป็นสารในกลุ่มฟูลเลอรีนส์ (fullerenes, Cn) ซึ่งเป็นอัญรูป (allotrope) แบบที่สามของคาร์บอนต่อจากเพชรและกราไฟต์ บัคกี้บอลมีขนาดเส้นผ่านศูนย์กลางโมเลกุลประมาณ 1 นาโนเมตร ประกอบด้วยวงหกเหลี่ยมของคาร์บอน (hexagons) จำนวน 20 วง และวงห้าเหลี่ยม (pentagons) จำนวน 12 วง โดยที่บัคกี้บอลถือว่าเป็นโมเลกุลสารอินทรีย์ที่มีรูปทรงสมมาตรที่สุดเท่าที่มนุษย์เคยค้นพบจนถึงปัจจุบัน ในขณะนี้ นักวิทยาศาสตร์ทั่วโลกกำลังพากันค้นหาแนวทางในการนำเอาบัคกี้บอลมาใช้ประโยชน์ในด้านต่างๆ กันอย่างมากมาย ทั้งนี้เป็นเพราะว่าบัคกี้บอลมีคุณสมบัติเชิงฟิสิกส์และเคมีที่แปลกประหลาดหลายประการ ซึ่งสามารถนำมาประยุกต์ใช้เป็นยารักษาโรคได้หลายชนิด และใช้เป็นพาหนะนำส่งยาแบบนำวิถี (drug delivery) นอกจากนี้ยังสามารถนำบัคกี้บอลไปใช้ประโยชน์ในด้านนาโนอิเล็กทรอนิกส์ (nanoelectronic) ทั้งนี้เนื่องจากบัคกี้บอลมีคุณสมบัติเป็นสารกึ่งตัวนำ (semiconductor) แต่ถ้ามีการเจือกลุ่มโมเลกุลบัคกี้บอลด้วยอะตอมของโลหะอัลคาไลน์ จะทำให้กลุ่มโมเลกุลบัคกี้บอลมีคุณสมบัติเป็นตัวนำยิ่งยวด (superconductor) นอกจากนี้ยังมีการใช้บัคกี้บอลเป็นส่วนประกอบหลักในการพัฒนาเซลล์สุริยะแบบไดแอด (Dyads) รวมทั้งการใช้บัคกี้บอลเป็นตัวบรรจุอะตอมโลหะและโมเลกุลของก๊าซชนิดต่างๆ เช่น ไฮโดรเจน เป็นต้น หลังจากการค้นพบบัคกี้บอล นักวิทยาศาสตร์ทั่วโลกจำนวนมากต่างก็พากันศึกษาคุณสมบัติในด้านต่างๆ ของบัคกี้บอลกันอย่างมโหฬาร หนึ่งในนั้นก็คือการศึกษาสรรพคุณทางยาของบัคกี้บอล ซึ่งมีบริษัทประกอบธุรกิจเทคโนโลยีชีวภาพชื่อ ซี ซิกตี้ (C sixty Inc.) ของสหรัฐฯ เป็นแกนนำในการศึกษาทางด้านนี้ ผลจากการศึกษาที่ได้จนถึงปัจจุบันนี้ พอจะสรุปสรรพคุณทางยาของบัคกี้บอลได้ดังนี้

1. สรรพคุณในการเป็นยาต่อต้านไวรัส (Antivirals) ในปี ค.ศ. 1993 นักวิทยาศาสตร์พบว่าอนุพันธ์ของบัคกี้บอลชนิดหนึ่ง (MSAD-C60) มีฤทธิ์ในการยับยั้งการทำงานของเอนไซม์ โปรตีเอส (protease) ของไวรัสเอชไอวี (HIV) หรือ ไวรัสเอดส์ได้ และจากการตรวจสอบโดยละเอียดพบว่าอนุพันธ์ของบัคกี้บอลชนิดนี้จะมีครึ่งชีวิต (half-life) อยู่ในกระแสเลือด 6.8 ชั่วโมง โดยที่เมื่อเข้าไปในกระแสเลือดแล้วอนุพันธ์ชนิดนี้จะกระจายตัวเข้าไปจับกับโปรตีนในไซโตพลาสซึม และจากการนำเอาเทคนิคสร้างแบบจำลองโดยใช้คอมพิวเตอร์มาช่วยในการออกแบบยารักษาโรคเอดส์ ทำให้นักวิทยาศาสตร์สามารถสังเคราะห์อนุพันธ์ของบัคกี้บอลขึ้นมาใหม่อีกสองชนิดที่มีความเฉพาะเจาะจงในการจับกับบริเวณเร่งปฏิกิริยา (active site) ของเอนไซม์โปรตีเอสของไวรัสเอดส์ได้มากขึ้นเกือบ 50 เท่าตัว ในช่วงปลายปี ค.ศ. 1998 นักวิทยาศาสตร์ค้นพบว่าอนุพันธ์ของบัคกี้บอลบางชนิดสามารถทำลายเชื้อไวรัสได้โดยอาศัยปฏิกิริยาแบบใช้แสง(photodynamic reaction) ในการปลดปล่อยซิงเกล็ตออกซิเจน (singlet oxygen, 1O2) ออกมาเพื่อใช้ในการทำลายเปลือกหุ้ม (enveloped) ของไวรัส จากการทดลองเติมอนุพันธ์ของบัคกี้บอลลงในสารละลายบัฟเฟอร์ที่มีไวรัสเอสเอฟวี (Semliki Forest virus, SFV) หรือไวรัสวีเอสวี (vesicular stomatitis virus, VSV) แขวนลอยอยู่ และให้แสงในช่วงวิซิเบิล (visible light) เป็นวลา 5 ชั่วโมง พบว่าไวรัสเอสเอฟวีจะหมดสมรรถภาพในการก่อโรคโดยสิ้นเชิง นอกจากนี้นักวิทยาศาสตร์ชาวรัสเซียนยังพบว่าอนุพันธ์ของบัคกี้บอลอีกชนิดหนึ่งคือ ฟูลเลอโรไพโรลิโดน (fulleropyrrolidone) มีฤทธิ์ในการฆ่าเชื้อไวรัสโดยใช้ปฏิกิริยาที่เร่งด้วยแสงเช่นเดียวกัน สารต่อต้านไวรัสเอชไอวีที่เป็นอนุพันธ์ของบัคกี้บอล ชื่อ ซีเอสดีเอฟวัน (CSDF1) ของบริษัทซีซิกตี้ได้ถูกออกแบบให้สามารถยับยั้งการทำงานของเอนไซม์โปรตีเอสของไวรัสเอดส์ได้อย่างมีประสิทธิภาพ นอกจากนี้สารชนิดนี้ยังถูกสังเคราะห์ให้ละลายน้ำได้ดีมาก (200 กรัมต่อลิตร) และสามารถถูกขับออกจากร่างกายได้อย่างรวดเร็วโดยการปัสสาวะ ทำให้สารซีเอสดีเอฟวันมีความเป็นพิษกับเซลล์ร่างกายค่อนข้างต่ำกว่ายารักษาโรคเอดส์ที่ใช้กันในปัจจุบัน ซึ่งจากการทดสอบความเป็นพิษของสารชนิดนี้ในหนูทดลองพบว่ามีความเป็นพิษต่ำ (LD50 เท่ากับ 800 มิลลิกรัมต่อกิโลกรัม)

2. สรรพคุณในการเป็นสารต่อต้านเชื้อแบคทีเรีย (Antibacterials) คาร์บอกซีฟูลเลอรีน (carboxyfullerene) ซึ่งเป็นอนุพันธ์ของบัคกี้บอลที่ละลายน้ำได้ดี สามารถนำมาใช้รักษาหนูทดลองที่ป่วยเป็นโรคเยื่อหุ้มสมองอักเสบ (meningitis) ที่มีสาเหตุมาจากการติดเชื้อแบคทีเรีย E. coli ได้อย่างมีประสิทธิภาพ และจากการตรวจสอบโดยละเอียดพบว่าหนูที่ได้รับการรักษาโดยใช้สารคาร์บอกซีฟูลเลอรีนจะมีปริมาณของทีเอ็นเอฟ อัลฟา (tumor necrosis factor alpha, TNF-alpha) และปริมาณของอินเตอร์ลิวคิน-วัน เบต้า (interleukin-1beta, IL-1β) น้อยกว่าหนูที่ไม่ได้รับการรักษา นอกจากนี้สารคาร์บอกซีฟูลเลอรีนยังมีฤทธิ์ยับยั้งการเพิ่มอัตราการซึมผ่านของสารต่างๆ บริเวณทำนบกั้นระหว่างกระแสโลหิตและเซลล์สมอง (blood-brain barrier) ซึ่งมีสาเหตุมาจากความเป็นพิษของเชื้อ E. coli ได้ นอกจากนี้อนุพันธ์ของบัคกี้บอลอีกชนิดหนึ่งคือ ฟูลเลอรีนที่มีประจุบวกและละลายน้ำได้ มีฤทธิ์ในการยับยั้งการเจริญของเชื้อ Mycobacterium tuberculosis ซึ่งเป็นสาเหตุของวัณโรคได้ ส่วนคาร์บอกซีฟูลเลอรีนมีฤทธิ์ในการยับยั้งการเจริญของเชื้อ Streptococcus pyogenes จากการทดสอบในระดับหลอดทดลอง และเมื่อทดสอบการออกฤทธิ์ในหนูทดลองพบว่าคาร์บอกซีฟูลเลอรีนสามารถเพิ่มประสิทธิภาพของเซลล์เม็ดเลือดขาวชนิด นิวโทรฟิลส์ (neutrophils) ในการกำจัดเชื้อแบคทีเรียชนิดเดียวกันนี้ได้ และจากงานวิจัยเพิ่มเติมทำให้ทราบว่าการที่อนุพันธ์ของบัคกี้บอลสามารถยับยั้งแบคทีเรียแกรมบวก (Gram-positive bacteria) ได้นั้นเนื่องมาจากอนุพันธ์เหล่านี้สามารถแทรกตัวลงไปที่บริเวณผนังเซลล์ของแบคทีเรียซึ่งจะส่งผลให้ผนังเซลล์ของแบคทีเรียเสียสภาพและทำให้แบคทีเรียตายในที่สุด

3. สรรพคุณในการต่อต้านมะเร็งและเนื้องอก (Tumor/Anti-Cancer therapy) คุณสมบัติพิเศษอีกประการหนึ่งของบัคกี้บอลคือสารชนิดนี้สามารถถูกเร่งปฏิกิริยาด้วยแสง ซึ่งสามารถนำมาประยุกต์ให้ในการรักษาโรคมะเร็งและเนื้องอกแบบใช้แสง (photodynamic tumor therapy) ได้ อนุพันธ์ของบัคกี้บอลที่มีโมเลกุลเชื่อมติดกับพอลิเอทธิลีนไกลคอล (C60-polyethylene glycol) เมื่อถูกกระตุ้นด้วยแสงจะมีฤทธิ์ในการทำลายเซลล์มะเร็งได้โดยไม่มีผลข้างเคียงกับเซลล์ร่างกายที่ปกติ จากผลการทดลองพบว่าอนุพันธ์ชนิดนี้เข้มข้น 0.424 มิลลิกรัมต่อกิโลกรัม โดยให้พลังงานแสงเท่ากับ 1011 จูลต่อตารางเมตร จะสามารถกำจัดเซลล์มะเร็งให้ได้อย่างสมบูรณ์ จากการทดสอบในหลอดทดลองพบว่าฟูลเลอรีน-พอลิเอทธิลีนไกลคอล สามารถยับยั้งการเจริญของเซลล์เพาะเลี้ยงชนิดฮีลาเอสสาม (HeLa S3 cell lines) ซึ่งจัดว่าเป็นเซลล์มะเร็งชนิดหนึ่งได้ นอกจากนี้ยังมีรายงานว่าอนุพันธ์แบบฟูลเลอรีน-พอลิเอทธิลีนไกลคอลยังสามารถกำจัดเซลล์มะเร็งชนิดไฟโบรซาร์โคมา (fibrosarcoma tumors) ในหนูทดลองและที่เยื่อหุ้มเซลล์ของเม็ดเลือดแดงได้ พอลิไฮดรอกซีฟูลเลอลีน (C60(OH)24) เป็นอนุพันธ์ของบัคกี้บอลที่ละลายน้ำได้ดี และมีฤทธิ์ในการยับยั้งการเจริญของเซลล์มะเร็งโดย 1.) ยับยั้งการประกอบตัวของไมโครทิวบูล (microtubule) ของเซลล์มะเร็ง 2.) ยับยั้งการสร้างไมโตติกสปินเดิล (mitotic spindle) ของเซลล์มะเร็ง ซึ่งคล้ายกับการออกฤทธิ์ของยาแทกซอล (taxol) ที่ใช้รักษาโรคมะเร็งในปัจจุบันนี้ นอกจากนี้ยังมีการออกแบบวิธีการนำส่งยาต่อต้านมะเร็งที่เป็นอนุพันธ์ของบัคกี้บอลไปยังเซลล์มะเร็งแบบนำวิถี (anticancer delivery system) โดยการบรรจุอนุพันธ์ของบัคกี้บอลเอาไว้ภายในแคปซูลแบบไลโปโซม (liposome) โดยที่ทางบริษัทซี ซิกตี้ ซึ่งเป็นผู้ผลิตได้ตั้งชื่อทางการค้าว่า “บัคกี้โซมส์ (buckysomes)”

4. สรรพคุณในการเป็นสารต่อต้านการตายของเซลล์ (Anti-apoptosis agents) บัคกี้บอลมีคุณสมบัติในการสะเทินความเป็นพิษของอนุมูลอิสระและสามารถยับยั้งขั้นตอนการตายโดยอัตโนมัติ (apoptosis) ของเซลล์ได้เป็นอย่างดี จากการศึกษาโดยละเอียดพบว่า คาร์บอกซีฟูลเลอรีน ซึ่งเป็นอนุพันธ์ของบัคกี้บอล สามารถยับยั้งการตายของเซลล์ได้โดยการขัดขวางการส่งสัญญาณของ ทรานสฟอร์มมิ่ง โกรว์ท แฟคเตอร์-เบต้า (Transforming growth factor-beta, TGF-ß) ซึ่งเป็นตัวการในการชักนำให้เซลล์เข้าสู่ระยะการตายแบบอัตโนมัติ นอกจากนี้คาร์บอกซีฟูลเลอรีนยังสามารถป้องกันเซลล์ผิวหนังไม่ให้ถูกทำลายด้วยรังสียูวีบี(UVB) และจากสภาวะออกซิเดชันต่างๆ ได้เป็นอย่างดี โครงสร้างโมเลกุลของอนุพันธ์คาร์บอกซีฟูลเลอรีน (hexacarboxylic acid-C60) ซึ่งมีฤทธิ์ในยับยั้งการตายของเซลล์ Hep3B ได้โดยการขัดขวางการส่งสัญญาณของสาร TGF-ß ได้ แต่สิ่งที่น่าสนใจมากกว่า คือ การที่ค้นพบว่าอนุพันธ์ของบัคกี้บอล คือ ฟูลเลอรีนอล (fullerenol) และคาร์บอกซีฟูลเลอรีนสามารถยับยั้งการตายของเซลล์ประสาทที่สัมผัสกับสารพิษหลายชนิดที่นำมาทดสอบได้อย่างมีประสิทธิภาพ ทำให้นักวิทยาศาสตร์มีความหวังในการที่จะนำเอาอนุพันธ์ของบัคกี้บอลเหล่านี้ไปรักษาผู้ที่ป่วยด้วยโรคร้ายแรงที่เกี่ยวข้องกับระบบประสาทเช่น โรคอัลไซเมอร์ (Alzheimer’s disease) และโรค ALS หรือที่เรียกว่าโรค Lou Gehrig ต่อไปในอนาคต โดยที่บริษัทซีซิกตี้กำลังทดสอบการออกฤทธิ์ของอนุพันธ์ของบัคกี้บอลในการรักษาโรค ALS และโรคพาร์คินสัน (Parkinson’s disease) ในมนุษย์อยู่ในขณะนี้

5. สรรพคุณในการเป็นสารต่อต้านอนุมูลอิสระ (Antioxidants)

แตนเบียนกำจัดศัตรูพืช

จากกระแสความนิยมบริโภคผักผลไม้ปลอดสาร ส่งผลให้เกษตรกรชาวสวนหันมา “ชีววิถี” ซึ่งเป็นการใช้แมลงที่เป็นประโยชน์กำจัดแมลงศัตรูพืชกันมากขึ้น และหนึ่งในแมลงที่เป็นประโยชน์คอยทำหน้าที่กำจัดศัตรูพืชสวนผลไม้ คือ “แตนเบียน”

...แตนเบียน จัดเป็นแมลงในกลุ่มเดียวกับ ผึ้ง ต่อ แตน ด้วยลักษณะการดำรงชีวิต จะไม่ทำอันตราย ต่อคน แต่กลับเป็นเพชฌฆาตที่ร้ายกาจของแมลงศัตรูพืช ด้วยการวางไข่ทิ้ง และอาศัยน้ำเลี้ยงภายในตัวแมลง เป็นอาหารสำหรับการเจริญเติบโต กระทั่งแมลงศัตรูพืชตายในที่สุด

“เจ้าเพชฌฆาต” ดังกล่าว ในบ้านเรานั้นมีอยู่ หลากหลายแต่ละชนิดมีความสามารถกำจัดต่างชนิดกัน โดย ผู้ทำหน้าที่กำจัดจะเป็นเพศเมีย เพราะมี อาวุธร้ายกาจ คือ “อวัยวะวางไข่” ซึ่งมีลักษณะ เรียวยาว ปลายแหลม คล้ายฉมวกขนาดจิ๋ว สำหรับแทงและวางไข่ในตัวหนอนแมลงวันผลไม้ วิธีการค้นหาเป้าหมาย เพื่อวางไข่แพร่พันธุ์ได้ด้วยการ “รับกลิ่น” จากสารเคมีจากปฏิกิริยาการสุกเน่าของผลไม้ รวมทั้งเสียงสั่นจากการเคลื่อนไหวของแมลงศัตรูพืช

“ผู้พิฆาตสาว” แต่ละตัว สามารถวางไข่ได้ตลอดชีวิต คิดเฉลี่ยอัตราประมาณ 100 ฟอง และนี่เองมันจึงถูกจัดอันดับให้เป็น “ผู้ควบคุม” ที่เจ๋งสุดในอันดับต้นๆ ถึง แม้จะถูกหมางเมินจากตัวผู้ สาวเจ้ากลับมีความพิเศษคือ สามารถวางไข่และฟักเป็นตัวอ่อนได้ เพียงแต่สมาชิกใหม่ เป็นตัวผู้ล้วนๆ

ส่วนตัวไหน ธรรมชาติการมีคู่เรียกร้อง เป็นผลสำเร็จ ไข่ที่วางและฟักออกมาถึงจะเป็นแตนเบียนเพศเมีย เหล่านี้จึงส่งผลให้เกิดปัญหาคือ จำนวนตัวอ่อนที่เกิดขึ้นเป็นเพศผู้เสียส่วนใหญ่ เนื่องจากแตนเบียนเพศเมียจะมุ่ง “วางไข่มากกว่าการผสมพันธุ์”

รศ.ดร.สังวรณ์ กิจทวี คณะวิทยาศาสตร์ มหาวิทยาลัยมหิดล จึงศึกษาพฤติกรรมปัจจัยการแพร่พันธุ์ “แตนเบียน” เพศเมีย เพื่อช่วยเพิ่มประสิทธิภาพในการควบคุมแมลงวันผลไม้ ใน โครงการพัฒนาองค์ความรู้และศึกษานโยบายการจัดการทรัพยากรชีวภาพในประเทศไทย (โครงการ BRT) ภายใต้การสนับสนุนของสำนักงานกองทุนสนับสนุนการวิจัย (สกว.) และศูนย์พันธุ วิศวกรรมและเทคโนโลยีชีวภาพแห่งประเทศไทย (BIOTEC) และได้เลือกศึกษาแตนเบียน สายพันธุ์ Diachasmimorpha longi caudata (Ashmead) ซึ่งวางไข่เฉพาะในแมลงวันผลไม้

รศ.ดร.สังวรณ์ บอกกับ “หลายชีวิต” ว่า การใช้แตนเบียนในการควบคุมแมลงศัตรูพืชอย่างมีประสิทธิภาพ ควรเพาะเลี้ยงให้ได้เพศเมียมากกว่าเพศผู้ เพื่อควบคุมแมลงได้อย่างกว้างขวางมากขึ้น การควบคุมระบบสืบพันธุ์จึงต้องให้ไข่ได้รับการผสม หรือได้รับการปฏิสนธิ (fertilized egg)

...ที่ต้อง อาศัยปัจจัยที่เกี่ยวข้องกับการสื่อสารด้วยเสียง (การขยับปีกของเพศผู้) และกลิ่น (pheromone) ซึ่งมีผลให้เพศเมียยอมรับการผสมพันธุ์ อันเป็นการเพิ่มโอกาสให้ตัวอสุจิผสมกับไข่ได้มากยิ่งขึ้น แตนเบียนเพศเมียจะเลือกวางไข่ที่ได้รับการผสมลงในตัวอ่อนแมลงวันผลไม้ที่มีขนาดใหญ่หรือสมบูรณ์ และมักจะเลือกวางไข่ที่ไม่ได้รับการผสมในแมลงวันผลไม้ขนาดเล็ก

“ไข่” ที่ได้รับการผสมนอกจากจะผลิตตัวอ่อนเพศเมียที่มีประสิทธิภาพในการกำจัดแมลงวันผลไม้ในรุ่นต่อไปแล้ว ยังสามารถกำจัดแมลงวันผลไม้ที่มีความสมบูรณ์และมีความสามารถในการทำลายผลไม้ได้มากได้ดีกว่าอีกด้วย.

การอ่นหนังสือของคนไทย

การศึกษาการอ่านหนังสือของคนไทยมีวัตถุประสงค์เพื่อนำเสนอพฤติกรรมการอ่านหนังสือของประชากรในแต่ละวัยคือ วัยเด็ก (อายุ 6-14 ปี) วัยรุ่น (อายุ 15-24 ปี)วัยทำงาน(อายุ 25-59 ปี)และผู้สูงอายุ(อายุ 60 ปีขึ้นไป)โดยใช้ข้อมูลจากการสำรวจพฤติกรรมการอ่านหนังสือของประชากรปี พ.ศ.2546 และครั้งล่าสุดเมื่อปี 2548 ที่จัดทำโดยสำนักงานสถิติแห่งชาติ ซึ่งเป็นการสำรวจประชากรที่มีอายุตั้งแต่ 6 ปีขึ้นไป สรุปประเด็นที่สำคัญดังนี้


การอ่านหนังสือของคนไทย หมายถึง การอ่านหนังสือทุกประเภทรวมทั้งตำราเรียน ตลอดจนการอ่านจากอินเทอร์เน็ต ผลจากการสำรวจพฤติกรรมการอ่านหนังสือของประชากรปี 2546 และ 2548 พบว่าประชาชนมีแนวโน้มอ่านหนังสือเพิ่มขึ้นจากร้อยละ 61.2 ในปี 2546 เพิ่มขึ้นเป็นร้อยละ 69.1 ในปี 2548 แม้ชายจะมีการอ่านหนังสือมากกว่าหญิง แต่หญิงมีอัตราการเพิ่มของการอ่านหนังสือมากกว่าชาย

ประชากรในเขตเทศบาลมีการอ่านหนังสือมากกว่าประชากรที่อยู่นอกเขตเทศบาลทั้งนี้เนื่องจากมีแหล่งบริการ ร้านจำหน่าย และร้านให้เช่าหนังสืออยู่มากกว่า เมื่อจำแนกการอ่านหนังสือของประชากรตามวัยต่างๆพบว่า ในปี 2548 วัยเด็กมีการอ่านหนังสือมากที่สุด คือร้อยละ 87.7 รองลงมาคือ วันรุ่น(ร้อยละ 83.1)วัยทำงาน (ร้อยละ 65.0)และผู้สูงอายุ(ร้อยละ 37.4)

ประเภทหนังสือที่อ่าน หนังสือพิมพ์เป็นหนังสือที่มีคนอ่านมากที่สุด โดยในปี2548 มีผู้อ่านหนังสือพิมพ์เพิ่มขึ้นจากปี 2546 คิดเป็นร้อยละ 27.6 การอ่านหนังสือประเภทตำราเรียนตามหลักสูตรมีการอ่านลดลง จากร้อยละ 40.0 ในปี 2546 เหลือเพียงร้อยละ 34.4 ในปี 2548 นอกจากนี้หนังสือประเภทนิตยสาร วารสาร/เอกสารที่ออกเป็นประจำ ตำรา/หนังสือเกี่ยวกับความรู้ก็ยังมีการอ่านลดลงเช่นกัน

วัยเด็ก อ่านหนังสือประเภทตำราเรียนตามหลักสูตรมากที่สุด เนื่องจากยังอยู่ในวัยของการศึกษาภาคบังคับ รองลงมาคือนวนิยาย/การ์ตูน/หนังสืออ่านเล่น และตำรา/หนังสือเกี่ยวกับความรู้ วัยรุ่น อ่านหนังสือพิมพ์มากที่สุดถึงร้อยละ 68.9 ในปี 2546 เพิ่มขึ้นเป็นร้อยละ 77.5 ในปี 2548 หนังสือพิมพ์เป็นหนังสือที่วัยทำงานอ่านมากที่สุด คือ มากกว่าร้อยละ 85 ทั้งในปี 2546 และ 2548 หนังสือพิมพ์เป็นหนังสือที่ผู้สูงอายุนิยมอ่านมากที่สุดเช่นเดียวกัน นอกจากนี้ผู้สูงอายุยังมีความสนใจในการอ่านจากอินเทอร์เน็ตเพิ่มมากขึ้นจากร้อยละ 0.3 ในปี 2546 เป็นร้อยละ 1.7 ในปี 2548

สาเหตุที่ไม่อ่านหนังสือของคนไทย จากการสำรวจฯพบว่า ผู้ไม่อ่านหนังสือมีแนวโน้มลดลงจากร้อยละ 38.8 ในปี 2546 เหลือร้อยละ 30.9 ในปี 2548 สาเหตุหลักของการไม่อ่านหนังสือของคนไทยในทุกวัยคือ การชอบฟังวิทยุ/ดูทีวี มากกว่าการอ่าน การชอบฟังวิทยุ/ดูทีวีเป็นสาเหตุหลักที่ทำให้วัยเด็กไม่อ่านหนังสือ รองลงมาคือไม่ชอบอ่านหรือไม่สนใจอ่าน และอ่านหนังสือไม่ออก

การส่งเสริมให้อ่านหนังสือ จากการสำรวจฯ ในปี 2548 เกี่ยวกับความคิดเห็นในการส่งเสริมเพื่อจูงใจให้ประชากรรักการอ่านหนังสือ พบว่าประชากรร้อยละ 31.6 เห็นว่าหนังสือควรมีราคาถูกลง และควรมีห้องสมุดประจำหมู่บ้าน/ชุมชน ถือได้ว่าเป็นการสร้างโอกาสในการอ่านให้กับประชาชนที่อาศัยอยู่ในหมู่บ้าน/ชุมชนมากยิ่งขึ้น การเลือกหนังสือที่เหมาะกับสภาพท้องถิ่นนั้นๆจะเป็นกลยุทธ์อีกอย่างหนึ่งที่ทำให้ประชาชนสนใจอ่านหนังสือ รองลงมาคือหนังสือควรมีเนื้อหาสาระน่าสนใจ(ร้อยละ 23.7)และควรส่งเสริมให้พ่อแม่ปลูกฝังให้เด็กรักการอ่าน(ร้อยละ 20.5)

สรุป จากการสำรวจพฤติกรรมการอ่านหนังสือของประชากร พบว่าประชากรมีแนวโน้มอ่านหนังสือเพิ่มขึ้น คือจากร้อยละ 61.2 ในปี 2546 เพิ่มขึ้นเป็นร้อยละ 69.1 ในปี 2548 วัยเด็กมีการอ่านหนังสือมากที่สุด คิดเป็นร้อยละ 87.7 รองลงมาคือวัยรุ่น(ร้อยละ 83.1)วัยทำงาน(ร้อยละ 65.0)และผู้สูงอายุ (ร้อยละ 37.4)การไม่อ่านหนังสือของประชากรมีแนวโน้มลดลงจากร้อยละ 38.8 ในปี 2546เหลือร้อยละ 30.9 ในปี 2548 ทั้งนี้สาเหตุของการไม่อ่านหนังสือของประชากรมาจากการชอบฟังวิทยุ/ดูทีวีมากกว่าการอ่าน

การอ่านหนังสือนับเป็นปัจจัยและมูลเหตุสำคัญที่ทำให้เกิดองค์ความรู้ การรับรู้ข่าวสารต่างๆที่ทันต่อเหตุการณ์ ซึ่งสามารถนำมาปรับใช้กับการดำรงชีวิต และการพัฒนาคุณภาพชีวิตให้ดีขึ้น ดังนั้นหน่วยงานต่างๆทั้งภาครัฐและเอกชนควรจะช่วยสนับสนุนให้ประชาชนรักการอ่านเพิ่มมากขึ้น

อาหารบำรุงสมอง

สมองมนุษย์เป็นสิ่งมหัศจรรย์ที่ธรรมชาติสร้างให้กับเราทุกคน สมองเป็นศูนย์สั่งการทุกอย่างของร่างกายและจิตใจ ซึ่งความสามารถของสมองแต่ละคนจะไม่เท่ากัน ขึ้นอยู่กับ 3 ปัจจัยคือ ความสมบูรณ์ของสมอง กรรมพันธุ์ และการฝึกฝนความสมบูรณ์ของสมองเริ่มตั้งแต่เป็นทารกในครรภ์ และพัฒนาขึ้นจนเติบใหญ่ ซึ่งอาหารที่รับประทานเข้าไปจะมีผลอย่างมากต่อการเจริญเติบโตและพัฒนาของสมอง เมื่อเราอายุมากขึ้น อัตราการแบ่งตัวของเซลล์จะเริ่มลดลง ซึ่งรวมถึงเซลล์ประสาทด้วย การสร้างสารสื่อประสาทต่าง ๆ ก็จะลดลง ทำให้ผู้สูงอายุมักจะมีปัญหาเรื่องความจำเสื่อมหลงลืมได้ง่าย ส่วนอวัยวะและกล้ามเนื้อต่าง ๆ ย่อมเสื่อมลงเมื่ออายุมากขึ้น ซึ่งรวมถึงระบบการย่อยอาหาร ตัวอย่างเช่น การหลั่งเอนไซม์ที่ใช้ย่อยอาหารจะลดลงเมื่ออายุเพิ่มมากขึ้น อันอาจจะทำให้กาดูดซึมสารอาหารบางตัว เช่น ธาตุเหล็ก หรือวิตามินบี 12 ลดน้อยลง นอกจากนี้การรับรสของผู้สูงอายุจะเปลี่ยนไป รวมถึงฟันที่เสื่อมลงจะทำให้ผู้สูงอายุรู้สึกเบื่ออาหารและรับประทานอาหารน้อยลง ส่งผลให้ผู้สูงอายุมักจะขาดสารอาหารที่จำเป็นในร่างกายได้สารอาหารที่รับประทานเข้าไปจะมีผลต่อการทำงานของสมอง ตัวอย่างเช่น กรดไขมันจะถูกใช้ในการสร้างเซลล์ประสาทที่ช่วยในการรับรู้ กรดอะมิโนจากโปรตีนจะถูกใช้ในการสร้างสารสื่อประสาทที่ทำหน้าที่ในการถ่ายทอดข้อมูลระหว่างเซลล์ประสาทแต่ละเซลล์ กลูโคสจากอาหารกลุ่มคาร์โบไฮเดรตจะเป็นเชื้อเพลิงให้แก่สมองในการสร้างพลังงาน ส่วนสารต้านอนุมูลอิสระ (Antioxidants) ที่ได้จากผักและผลไม้ จะช่วยป้องกันเซลล์สมองจากการถูกทำลายได้ ตัวอย่างวิตามินและสารอาหารที่มีความสำคัญต่อสมอง ได้แก่ วิตามินบี 1 (Thiamine) มีความสำคัญต่อเซลล์สมองในการเผาผลาญคาร์โบไฮเดรตเพื่อให้ได้พลังงาน
วิตามินบี 5 (Pantothenic acid) เป็นโคเอนไซม์ที่ช่วยในการทำงานของสารสื่อประสาท
วิตามินบี 6 (Pyridoxine) มีความสำคัญต่อการทำงานของระบบประสาท ช่วยในการสร้างสารเซโรโตนิน (Serotonin) ที่ช่วยทำให้อารมณ์ดี ความจำดี
วิตามินบี 12 และโพลิคแอซิดมีความสำคัญต่อการทำงานของสารสื่อประสาท ซึ่งจากงานวิจัยในวารสารทางโภชนาการระบุว่าการได้รับวิตามินบี 12 และโฟลิคแอซิดอย่างเพียงพอ จะช่วยลดอาการความจำเสื่อมได้วิตามินซี ช่วยการในดูดซึมธาตุเหล็ก การขาดวิตามินซีจะทำให้อ่อนเพลียและเกิดอาการซึมเศร้าได้แคลเซียมและแมกนีเซียม มีความจำเป็นต่อระบบประสาทส่วนกลาง ซึ่งต้องทำงานคู่กันจึงจะได้ผลดีที่สุดเซเลเนียม (Selenium) เป็นสารต้านอนุมูลอิสระ ช่วยทำให้อารมณ์ดีขึ้นกรดไขมัน DHA จากการวิจัยทางยุโรปพบว่า การรับประทานปลามาก ๆ ซึ่งอุดมไปด้วยกรดไขมัน DHA จะช่วยป้องกันอาการหลงลืมได้ นอกจากนี้จากงานวิจัยหลายแห่งชี้ให้เห็นว่า ผู้สูงอายุส่วนใหญ่มักจะมีปัญหาขาดสารอาหาร ทั้งนี้เนื่องจากปัญหาในการรับประทานอาหาร เช่น การเคี้ยว เบื่ออาหาร ทำให้การแนะนำว่าผู้สูงอายุควรได้รับวิตามินหรืออาหารเสริมเพิ่มเติมเพื่อช่วยชะลอภาวะเสื่อมของสมอง แต่ขึ้นอยู่กับสุขภาพของแต่ละคนด้วย เช่น โรคประจำตัว ดังนั้นควรปรึกษาแพทย์หรือผู้เชี่ยวชาญ ก่อนเริ่มรับประทานวิตามินหรืออาหารเสริม

เห็ด.......อาหารมหัศจรรย์

ว่าเห็ดเป็นอาหารมหัศจรรย์นั้น จากฤดูการเกิดก็ไม่เหมือนกับพืชผักชนิดอื่นๆ ใช้เวลาเพาะเพียงสั้นๆ แต่ได้จำนวนมากมายดาษดื่น ถึงเวลางอกงามแต่ละทีก็ผุดขึ้นราวกับตั้งนาฬิกาปลุกธรรมชาติ พอใกล้เวลาก็มุดหายลงดิน เก็บตัวเงียบรอเวลาอีกครั้ง คนเก็บจะต้องมีความชำนาญ รู้ลักษณะ รู้ชนิด รู้ต้นตอแหล่งกำเนิด เพราะเห็ดบางชนิดเห็นหน้าตาสวยงาม อาจกลายเป็นเห็ดมีพิษ ใครไม่รู้จริงเผลอนำไปรับประทานเป็นได้เดือดร้อนกันแน่ปัจจุบันเห็ดที่เรานิยมรับประทานกันมีอยู่มากมายหลายชนิด มีทั้งแบบสด บรรจุกระป๋อง หรือแม้แต่เห็ดตากแห้ง ความนิยมในการรับประทานมีมากขึ้นเรื่อยๆ ด้วยรูปแบบ และรสชาติเฉพาะตัวที่แตกต่างจากอาหารประเภทพืชผักด้วยกัน รวมทั้งการที่คนหันมานิยมรับประทานอาหารแบบมังสวิรัติกันมากขึ้นก็ทำให้เห็ดถูกนำมาใช้ปรุงอาหารแทนเนื้อสัตว์มากขึ้นตามไปด้วย มีงานวิจัยหลายชิ้นที่ยืนยันว่าเห็ดมีคุณสมบัติป้องกันโรคได้ในประเทศจีน และญี่ปุ่น นิยมนำเห็ดมาปรุงเป็นน้ำแกง น้ำชา ยาบำรุงร่างกาย และยารักษาโรคต่างๆ มีการทำวิจัยเกี่ยวกับเห็ดมากว่า 30 ปียืนยันว่าในเห็ดมีสารบางอย่างที่ช่วยกระตุ้นการทำงานของระบบภูมิคุ้มกัน และลดความเสี่ยงต่อโรคหลอดเลือดหัวใจ และช่วยในการต้านมะเร็งหลายๆ ชนิดด้วย ในสหรัฐอเมริกาก็มีการทำวิจัยเกี่ยวกับเห็ดเช่นกันได้ผลออกมายืนยันการค้นพบแบบเดียวกับชาวเอเชีย แต่สำหรับการวิจัยถึงผลการใช้เห็ดเป็นยารักษาโรคนั้นยังคงอยู่ในขั้นแรกๆ เท่านั้นเห็ดที่นักวิทยาศาสตร์นิยมเอามาวิเคราะห์เพื่อการวิจัยนั้นส่วนใหญ่เป็นเห็ดชนิดที่คนมักนำมาปรุงอาหาร และหาได้ง่าย เช่น เห็ดเข็มทอง เห็ดหอม เห็ดกระดุมหรือแชมปิญอง เห็ดนางรม เห็ดนางฟ้า เห็ดฟาง เห็ดโคน เห็ดหูหนู หรือ เห็ดหลินจือ อย่างเมื่อเร็วๆ นี้ มีผลการศึกษาในสหรัฐอเมริกาพบว่าเห็ดแชมปิญอง (White mushroom) มีบทบาทช่วยในการรักษาและป้องกันการเกิดมะเร็งเต้านมมากที่สุด เมื่อเทียบกับเห็ดรับประทานได้ชนิดอื่นๆ โดยสารบางอย่างในเห็ดชนิดนี้ไปช่วยยับยั้งเอ็นไซม์ aromatase ทำให้เกิดการยับยั้งการแปรฮอร์โมนแอนโดรเจนให้กลายเป็นเอสโตรเจนในผู้หญิงวัยหมด ประจำเดือน เมื่อร่างกายผลิตฮอร์โมนเอสโตรเจนได้น้อยลง ก็ลดโอกาสการเจริญเติบโตของเซลล์มะเร็งเต้านมให้น้อยลงตามไปด้วยที่ประเทศญี่ปุ่น ได้มีการทดลองนำเห็ดหอมมาสกัด พบว่าในเห็ดหอม ให้น้ำตาลโมเลกุลขนาดใหญ่ (mega-sugar) ที่เรียกว่า เบต้ากลูแคนส์ (beta-glucans) ถึง 2 ชนิด ได้แก่ lentinan และ LEM (Lentinula edodes mycelium) ซึ่งช่วยทำหน้าที่กระตุ้นระบบภูมิคุ้มกันต่อสู้กับการติดเชื้อ และชะลอการแพร่กระจายของเซลล์มะเร็ง ซึ่งในการทดลองให้สาร lentinan กับผู้ป่วยมะเร็งร่วมกับการทำเคมีบำบัดก็พบว่าก้อนมะเร็งมีขนาดลดลง และอาการข้างเคียงจากการทำเคมีบำบัดก็เกิดขึ้นน้อยลงด้วย ขณะนี้ทีมวิจัยในญี่ปุ่นกำลังมองหาความเป็นไปได้ในการใช้ LEM ที่ได้จากเห็ดหอมมาบำบัดผู้ป่วยที่ติดเชื้อ HIV และยังพบอีกว่า สารสกัดจากเห็ดหอมอีกตัวหนึ่ง ชื่อ eritadenine เป็นตัวช่วยลดปริมาณไขมันในเลือดและระดับโคเลสเตอรอลให้กับร่างกายได้อีกด้วย หลากหลายพันธุ์เห็ดรสอร่อย เห็ดนำมาปรุงอาหารให้อร่อยได้หลากหลายวิธี ทั้งต้มน้ำแกง ผัด ยำ ย่าง หรือทอด ที่เห็นมากในบ้านเรา ได้แก่ เห็ดหอม มีทั้งแบบเนื้อบางและหนา คนนิยมนำเห็ดหอมตากแห้งมาปรุงอาหารเพราะให้กลิ่นหอมมากกว่าแบบสด ซึ่งก่อนปรุงต้องลวกในน้ำเดือดประมาณครึ่งชั่วโมง หรือแช่น้ำอุ่นประมาณ 2-3 ชั่วโมง หรือข้ามคืน ช่วยให้เนื้อเห็ดนุ่มขึ้น น้ำแช่เห็ดหอมนี้ยังเก็บเอาไปทำเป็นน้ำสต๊อกปรุงรสอาหารได้ด้วย คนนิยมนำมาปรุงอาหารเจ เพราะเนื้อนุ่มเหนียวและกลิ่นหอมชวนกิน ชาวจีนยกให้เห็ดหอมเป็นอาหารตำรับ “อมตะ” เพราะคุณสมบัติความเป็นยาบำรุงกำลัง และบรรเทาอาการไข้หวัด การไหลเวียนเลือดไม่ดี ปวดกระเพาะอาหาร รวมทั้งอาการเหนื่อยอ่อนเพลีย ซึ่งเห็ดหอมนี้จะให้โปรตีนได้มากกว่าเห็ดแชมปิญองถึง 2 เท่าเลยทีเดียว นอกจากนี้ยังอุดมด้วยวิตามินเอ วิตามินบี ซีลีเนียม และธาตุอื่นๆ ที่มีประโยชน์ต่อร่างกายมากมาย ช่วยบำรุงกระดูกแข็งแรง ลดไขมันในเลือด และต้านโคเลสเตอรอล เห็ดหูหนูดำนอกจากเห็ดหูหนูดำแล้วยังมีเห็ดหูหนูขาว เนื้อกรุบกรอบคล้ายๆ กัน แถมยังมีสีขาวน่ารับประทานมากกว่า ตามร้านเย็นตาโฟนิยมนำมาใช้แทนแมงกะพรุน หรือต้มเป็นสุกี้หรือทำยำรวมมิตรก็อร่อยไม่น้อยเห็ดนางรม เห็ดนางฟ้า และเห็ดเป๋าฮื้อ เห็ดสามอย่างนี้อยู่ในตระกูลเดียวกัน เจริญเติบโตเป็นช่อๆ คล้ายพัด เห็ดนางรมมีสีขาวอมเทา เห็ดนางฟ้าจะมีสีขาวอมน้ำตาล ขณะที่เห็ดเป๋าฮื้อจะมีสีคล้ำและเนื้อเหนียวหนา และนุ่มอร่อยคล้ายเนื้อสัตว์มากกว่า จึงมักถูกจัดเป็นอาหารจานหรูเมนูจักรพรรดิ์ ซึ่งเชื่อกันว่าสามารถป้องกันโรคหวัด ช่วยการไหลเวียนเลือด และโรคกระเพาะอาหาร เห็ดนางฟ้าและเห็ดนางรมผิวเรียบนุ่ม รสชาติก็นุ่ม นำมาปรุงได้หลายแบบทั้งผัด ชุบแป้งทอด หรือแม้แต่ย่างก็ให้รสชาติดี แต่ไม่ควรใช้ไฟแรงเพราะจะทำให้เนื้อสัมผัสหมดไป เห็ดฟาง เป็นเห็ดยอดนิยมของคนไทย นิยมเพาะกันบนกองฟางข้าวชื้นๆ โคนมีสีขาว ส่วนหมวกสีน้ำตาลอมเทา หาซื้อได้ง่ายตามท้องตลาดตลอดทั้งปี ให้วิตามินซีสูง และมีกรดอะมิโนสำคัญอยู่หลายชนิด เชื่อว่าหากรับประทานประจำจะช่วยเสริมภูมิคุ้มกันลดการติดเชื้อต่างๆ แต่ก็ไม่ควรรับประทานสด ๆ เพราะมีสารที่คอยยับยั้งการดูดซึมอาหาร ช่วยป้องกันโรคเลือดออกตามไรฟัน โรคเหงือก และลดอาการผื่นคันต่าง ๆ เห็ดหลินจือ นอกจากใช้รับประทานแล้ว ปัจจุบันยังมีการนำไปเป็นส่วนผสมของเครื่องสำอางอีกด้วย เพราะมีคุณสมบัติช่วยต้านอนุมูลอิสระ ยับยั้งการเจริญเติบโตของเนื้อร้าย และกระตุ้นภูมิคุ้มกันไวรัส แถมยังมีฤทธิ์แก้อักเสบ ลดความดันเลือด แก้ปวดศีรษะ รวมทั้งลดไขมันในเส้นเลือดด้วย เห็ดเข็มทอง เป็นเห็ดสีขาวหัวเล็กๆ ขึ้นติดกันเป็นแพ รสชาติเหนียวนุ่ม นำมารับประทานแบบสดๆ ใส่กับสลัดผักก็ได้ ถ้าชอบสุกก็นำไปย่าง ผัดหรือลวกแบบสุกี้ เห็ดกระดุม หรือเห็ดแชมปิญอง รูปร่างกลมมน ผิวเนื้อนุ่มนวล มีให้เลือกทั้งแบบสด หรือบรรจุกระป๋องนานาสารอาหารจากเห็ดเห็ดเป็นอาหารที่ปราศจากไขมัน มีปริมาณน้ำตาล และเกลือต่ำมาก แถมยังเป็นแหล่งโปรตีนคุณภาพสูงเมื่อเทียบกับโปรตีนที่ได้จากเนื้อสัตว์ มีธาตุเหล็ก แคลเซียม ฟอสฟอรัส วิตามินซี วิตามินบีรวม ซีลีเนียม โปแตสเซียม และทองแดง จึงเป็นอาหารที่มีคุณค่าสูงที่ควรเลือกรับประทานเป็นประจำ ซีลีเนียม เป็นสารอาหารที่ช่วยต้านการเกิดอนุมูลอิสระใกล้เคียงกับวิตามินอี ซึ่งช่วยลดความเสี่ยงต่อการเกิดมะเร็งและโรคภัยต่างๆ ที่มากับวัยสูงอายุ เช่น โรคหลอดเลือดหัวใจ การรับประทานเห็ดหอม (ชิ้นขนาดกลางๆ 5 ชิ้น) จะให้ซีลีเนียมประมาณ 1 ใน 3 ของปริมาณที่ร่างกายควรได้รับต่อวัน นอกจากในเห็ดแล้ว ยังมีอยู่ในธัญพืช และเนื้อสัตว์ด้วย โปแตสเซียมเป็นสารอาหารที่จำเป็นอย่างยิ่งในการควบคุมจังหวะการเต้นของหัวใจ ความสมดุลของน้ำในร่างกาย การทำงานของกล้ามเนื้อ และระบบประสาทต่างๆ ทาง FDA ของสหรัฐอเมริการะบุไว้ว่าการรับประทานอาหารที่เป็นแหล่งของโปแตสเซียมจะช่วยลดความเสี่ยงในการเกิดความดันเลือดสูง และอัมพฤกษ์ อัมพาต ซึ่งในเห็ดนั้นมีโปแตสเซียมสูง และโซเดียมต่ำ การรับประทานอาหารที่ปรุงจากเห็ดกระดุมหรือเห็ดแชมปิญอง 1 จานจะให้โปแตสเซียมได้พอๆ กับส้มหรือมะเขือเทศลูกโตๆ เลยทีเดียว วิตามินบีรวม ในเห็ดขึ้นชื่อว่าเป็นอาหารที่อุดมด้วยวิตามินบีรวม ไม่ว่าจะเป็น ไรโบฟลาวิน (ที่นอกจากจะได้จากเห็ดแล้ว ยังมีมากในเครื่องในสัตว์ นม ไข่ และเต้าหู้) ช่วยบำรุงสุขภาพผิวพรรณและการมองเห็น ขณะที่ไนอาซิน (ยังพบมากในปลาทูน่า เนื้อแดง ถั่วลิสง และอะโวคาโด) จะช่วยควบคุมการทำงานของระบบย่อยอาหาร และระบบประสาท สถาบันอาหารแห่งสหรัฐอเมริกาได้ประมาณไว้ว่า การรับประทานเห็ดแชมปิญองขนาดกลางๆ 5 ชิ้น จะได้ปริมาณไรโบฟลาวินมากพอๆ กับการดื่มนมสดถึง 8 ออนซ์ ทองแดง เป็นสารอาหารที่ร่างกายต้องการเช่นเดียวกันเพื่อมาช่วยเสริมการทำงานของธาตุเหล็ก เห็ดโคลน เป็นเห็ดหายาก รสอร่อย ที่จะมีให้รับประทานเฉพาะในหน้าฝน บางคนจึงนิยมนำมาทำเป็นเห็ดดองเพื่อเก็บไว้รับประทานตลอดปี

มีอะไรในน้ำแร่

อาหารการกินของเราก็ได้มีการเปลี่ยนไป กินของที่ดูแปลกแตกต่าง อาหารที่จะกล่าวถึงนี้คือ น้ำแร่ อันว่าน้ำแร่นั้นโปรดอย่าเข้าใจผิดว่าหมายถึงที่ชาวเหมืองแร่นิยมดื่มกัน ชาวเมืองนั้นนิยมกินน้ำมังสวิรัติมากกว่า นัยว่าเพื่อใช้เป็นยาฆ่าเชื้อในกระเพาะอาหาร ในคำนิยามของสำนักงานคณะกรรมการอาหารและยา ได้กำหนดคำนิยามของน้ำแร่ ตามประกาศกระทรวงสาธารณสุขฉบับใหม่ ที่ออกตามพระราชบัญญัติอาหารว่า หมายความถึงน้ำแร่ตามธรรมชาติ ที่ได้จากแหล่งน้ำที่เกิดขึ้นเองโดยธรรมชาติ และมีแร่ธาตุผสมอยู่เป็นคุณสมบัติสำหรับแหล่งน้ำนั้นๆ ฟังดูยังงงกันอยู่ แต่ไม่เป็นไรค่ะอ่านไปเดี๋ยวก็ตาสว่างเอง ถ้าคุณเคยสังเกตเวลาดูว่าชาวต่างประเทศผ่านดาวเทียมจะพบว่า ในการประชุมระหว่างผู้นำคนสำคัญของโลกนั้นบนโต๊ะการประชุมมักมีขวดสีเขียว ซึ่งไม่ใช่สไปรท์วางอยู่คู่กับแก้วน้ำน้ำในขวดนั้นมักจะเป็นน้ำแร่ธรรมชาติ ซึ่งไม่ต่างกับเวลาเข้ารับหังการบรรยายตามโรงแรมในกรุงเทพฯ มักจะมีน้ำแร่ของการประปานครหลวงมาเสิร์ฟ ที่เรียกว่าน้ำแร่การประปาก็เพราะปัจจุบันมีน้ำประปาของ กทม. นั้นมีคุณภาพเข้าขั้นของน้ำแร่ธรรมชาติแล้ว เพราะสังเกตได้ว่าเมื่อรินใส่แก้วทิ้งไว้สักหลายๆ วันให้น้ำระเหยแห้งไป คุณจะพบคราบที่แก้วน้ำซึ่งไม่ใช่อื่นใดนั้นคือแร่ธาตุที่มีในธรรมชาติของน้ำในบ้านเรา (บวกกับสารเคมีที่โรงงานต่างๆ พร้อมใจกันเติมลงในน้ำดื่มที่ใช้น้ำประปา)คนต่างชาติเช่นชาวยุโรปนั้นเชื้อว่าน้ำแร่นั้นดื่มแล้วดี ทำให้แข็งแรง แถมมีรสชาติดีด้วย น้ำแร่ที่เขานิยมดื่มมักจะมาจากแหล่งน้ำแร่ที่อยู่บนเชิงเขาเชิงดอยซึ่งห่างไกลจากเมืองที่มีมลพิษความจริงในบ้านเราก็มีแหล่งน้ำแร่อยู่หลายแห่ง ที่ขึ้นชื่อลือชาก็คงเป็นที่ จ.ระนอง ซึ่งมีการต่อน้ำแร่ซึ่งเกิดจากน้ำพุร้อนเข้าไปให้อาบกันที่โรงแรมเลย น้ำแร่ประเภทนี้ต่างจากประเภทอื่นที่บรรจุขวดดื่ม เพราะมันมีกำมะถันสูง เหมาะกับการอาบเพื่อรักษาโรคผิวหนังมากกว่าในทางการปฏิบัติเพื่อนำเข้าหรือผลิตน้ำแร่ในทางการค้านั้น อย.ได้กำหนดประกาศขึ้นมาควบคุมเฉพาะ โดยคำนึงถึงความปลอดภัยของผู้บริโภคเป็นหลัก ประกาศฉบับนี้อาศัยหลักการและเนื้อหาจากที่มีการประกาศนานาชาติเลยทีเดียว เพื่อแสดงว่าไทยเราก็ศิวิไลซ์เหมือนกัน นอกจากแร่ธาตุแล้วก็ยังมีการกำหนดปริมาณสารปนเปื้อนต่างๆ ซึ่งเกิดจากปุ๋ย การชะล้างทำความสะอาดโรงงานอุตสาหกรรม ตลอดจนสารกัมมันตภาพรังสี อีกทั้งต้องไม่มีเชื้อโรคในระดับที่ก่อให้เกิดอันตรายอีกด้วยในการผลิตน้ำแร่ตามหลักสากลนั้นก็ได้พยายามให้เป็นธรรมชาติที่สุด กล่าวคือตักมาจากบ่ออย่างไรก็กรอกใส่ขวดอย่างนั้น อาจเติมก็าซคาร์บอนไดออกไซต์ลงไปใปให้เกิดความซ่าส์ สำหรับคนชอบซ่าส์หรือเติมก๊าซโอโซนลงไปเพื่อฆ่าเชื้อโรค นอกจากนั้นห้ามทำแม้แต่กระทั่งการกรองประเด็นสำคัญที่ผู้บริโภคน้ำแร่ต้องคำนึงไว้ก็คือ เรื่องการแสดงฉลาก ซึ่งตามประกาศที่กระทรวงสาธารณสุขออกไว้แต่เดิม และจากการแก้ไขใหม่นั้นจะช่วยคุ้มครองสุขภาพผู้บริโภคให้มากขึ้น เช่น กรณีคำเตือนที่ไม่แนะนำให้เด็กและหญิงมีครรภ์บริโภค เนื่องจากแนวความคิดว่าไม่มีเหตุผลใดที่จะต้องไปเสี่ยงกับการรับแร่ธาตุซึ่งบางอย่างอาจไม่ปลอดภัยได้นอกจากนี้ยังมีการบังคับให้ผู้จำหน่ายจัดประเภทน้ำแร่ของตนว่าอยู่ในประเภทต่อไปนี้หรือไม่ เช่น ต้องแสดงฉลาว่ามีฤทธิ์ถ่ายท้อง ถ้ามีเกลือซัลเฟตเกิน 600 มิลิกรัม/ลิตร ยกเว้นเกลือแคลเซียมซัลเฟต มีเกลือสูงถ้ามีโซเดียมคลอไรต์มากกว่า 1,000 มืลลืกรัม/ลิตร ทีธาตุเหล็กสูงถ้ามีแร่เหล็กมากกว่า 5 มิลลิกรัม/ลัตร ฯลฯข้อมูลที่กล่าวมาทั้งหมดนั้น ได้มาจากการที่อนุกรรมการพิจารณาดำเนินการให้เป็นไปตามมาตรา 6 ในการพิจารณากำหนดคุณภาพหรือมาตรฐานของอาหารเป็นเวลาหลายสิบชั่วโมง โดยมีวัตถุประสงค์ที่จะไม่ให้มีการหลอกลวงผู้บริโภค โดยการนำเอาน้ำอะไรไม่รู้มากรอกใส่ขวดแล้วบอกว่าเป็นน้ำแร่ ทั้งนี้ถ้าปล่อยให้น้ำแร่มีการผลิตและจำหน่ายได้ง่ายเช่นเดียวกับน้ำดื่มบรรจุขวดซึ่งขาดการดูแลที่เหมาะสม ในกรณีที่ผลิตในลักษณะอุตสาหกรรมห้องแถวแล้ว น้ำขวดเหล่านั้นอาจติดฉลากว่าเป็นน้ำแร่ในวันใดวันหนึ่ง เพราะอย่างที่ทราบกันเป็นการภายในว่าการผลิตน้ำดื่มบรรจุขวดตามห้องแถวหรือหมู่บ้านจัดสรรนั้น ทำโดยไม่ต้องขึ้นทะเบียนตำรับอาหารเพียงขอฉลากเท่านั้น จากนั้นไปซื้อเครื่องกรองน้ำมาชุดหนึ่ง แล้วก็ต่อน้ำประปาหรือน้ำบาดาลเข้าไป แรกๆ ก็ดูเป็นน้ำสะอาดดี แต่เมื่อเวลาผ่านไปสักพักโดยการขาดการดูแลเอาจใส่เปลี่ยนใส้กรอง ทำให้น้ำก่อนเข้าเครื่องกรองน้ำที่ออกมาบรรจุขวด ก็อาจมีระดับความสะอาดแทบไม่ต่างกัน และโดยที่ทราบกันดีว่าน้ำบาดาล และน้ำประปาบ้านเรานั้นมีความกระด้างสูง ดูจากการต้มน้ำกินจะพบตะกรันตกตะกอนลงก้นมามากมาย ดังนั้นน้ำดื่มบรรจุขวดที่ขายกันราคาถูกจึงอาจเข้าอยู่ในลักษณะของสิ่งปนเปื้อนได้ ทางราชการจึงจำเป็นต้องออกกฎและระเบียบมาควบคุมไว้บ้างคุณภาพมาตรฐานของน้ำแร่ธรรมชาติตามพระราชบัญญัติอาหาร พ.ศ.2522 ให้ความหมายของ “น้ำแร่ธรรมชาติ” ไว้ว่า “น้ำแร่ธรรมชาติที่ได้มาจากแหล่งน้ำใต้ดินที่เกิดขึ้นเองโดยธรรมชาติ และมีแร่ธาตุต่างๆ อยู่ตามคุณสมบัติสำหรับแหล่งน้ำแร่ธรรมชาติแล่งนั้นๆ”ซึ่งประกาศกระทรวงสาธารณสุขก็บัญญัติให้น้ำแร่ธรรมชาติเป็นอาหารที่กำหนดคุณภาพมาตรฐาน โดยการผลิตน้ำแร่ธรรมชาติ จะต้องกระต้องกระทำภายในบริเวณแหล่งน้ำแร่ธรรมชาติแหล่งนั้นๆ เท่านั้น โดยอาจจะนำไปผ่านกรรมวิธีการผลิตก่อนการบรรจุก็ได้ ซึ่งจะต้องกระทำตามกรรมวิธีการผลิตดังต่อไปนี้การปรับปริมาณก็าซที่มีอยู่ในน้ำแร่ธรรมชาติ การกำจัดสารประกอบที่ไม่ลงตัว เช่น สารประกอบหลัก แมงกานีส กำมะถัน สารหนู เป็นต้น ให้กำจัดโดยวิธีทำให้ตกตะกอน (decantation) และหรือโดยวิธีการกรอง (filtration) เท่านั้น แต่อาจมีการเติมอากาศ (aeration) เพื่อเร่งการตกตะกอนและหรือการกรองตาความจำเป็นก่อนการกำจัดก็ได้ โดยต้องไม่ทำให้สารประกอบสำคัญในน้ำแร่ธรรมชาติที่เปลี่ยนแปลงไปคุณภาพมาตรฐานองน้ำแร่ใส ไม่มีตะกอน แร่ธาตุที่มีอยู่ในน้ำแร่ธรรมชาติต้องมีปริมาณที่ไม่เป็นอันตรายต่อร่างกาย ได้แก่- ทองแดง ไม่เกิน 1 มิลลิกรัม /น้ำแร่ธรรมชาติ 1 ลิตร- แมงกานีส ไม่เกิน 2 มิลลิกรัม/น้ำแร่ธรรมชาติ 1 ลิตร- บอเรต ไม่เกิน 5 มิลลิกรัม/น้ำแร่ธรรมชาติ 1 ลิตร- สารหนู ไม่เกิน 0.05 มิลลิกรัม/น้ำแร่ธรรมชาติ 1 ลิตร- แบเรียม ไม่เกิน 1 มิลลิกรัม/น้ำแร่ธรรมชาติ 1 ลิตร- แคดเมียม ไม่เกิน 0.003 มิลลิกรัม/น้ำแร่ธรรมชาติ 1 ลิตร- โครเมียม ไม่เกิน 0.05 มิลลิกรัม/น้ำแร่ธรรมชาติ 1 ลิตร- ตะกั่ว ไม่เกิน 0.01 มิลลิกรัม/น้ำแร่ธรรมชาติ 1 ลิตร- ปรอท ไม่เกิน 0.001 มิลลิกรัม/น้ำแร่ธรรมชาติ 1 ลิตร- ซิลีเนียม ไม่เกิน 0.05 มิลลิกรัม/น้ำแร่ธรรมชาติ 1 ลิตร- ไบเดรต ไม่เกิน 50 มิลลิกรัม/น้ำแร่ธรรมชาติ 1 ลิตร- พลวง ไม่เกิน 0.005 มิลลิกรัม/น้ำแร่ธรรมชาติ 1 ลิตร- นิเกิล ไม่เกิน 0.02 มิลลิกรัม/น้ำแร่ธรรมชาติ 1 ลิตรสารปนเปื้อน- ไซนาไมต์ ไม่เกิน 0.07 มิลลิกรัม/น้ำแร่ธรรมชาติ 1 ลิตร- ไบไดรต์ ไม่เกิน 0.02 มิลลิกรัม/น้ำแร่ธรรมชาติ 1 ลิตร- ไม่พบสารกำจัดศัตรูพืชและสัตว์- ไม่พบโพลีคลอริเนตเดตไนพีนีล- ไม่พบสารลดความตึงผิว- ไมพบน้ำมันแร่- ไม่พบโพลีนิวเคลียร์อะโรแมติกไฮโดรคาร์บอนต้องไม่พบจุลินทรีย์- แบคทีเรียชนิดโคลิฟอร์มน้อยกว่า 2.2 ต่อน้ำแร่ธรรมชาติ 100 มม.- ไม่พบแบคทีเรียชนิดอี.โคไล (Escherichia coll) - ไม่มีจุลินทรีย์ที่ทำให้เกิดโรค ฉลากของน้ำแร่ต้องแสดงข้อมูลต่างๆ เหล่านี้ชื่อของน้ำแร่ธรรมชาติ โดยต้องแสดงแหล่งที่มาของน้ำแร่ธรรมชาตินั้น โดยอาจมีชื่อทางการค้าประกอบด้วยหรือไม่ก็ได้ และกำกับด้วยชื่อที่แสดงการปรับปริมาณก๊าซของน้ำแร่ธรรมชาติตามมาตรฐาน Joint FAO/WHO, Codexแสดงชื่อของแร่ธาตุที่สำคัญการผ่านกรรมวิธี แสดงคำเตือนซึ่งมีขนาดความสูงไม่น้อยกว่า 2 มม. เห็นชัดในกรอบสี่เหลี่ยมสีแดงพื้นขาว ดังต่อไปนี้ มีฟลูออไรด์ สำหรับน้ำกแร่ธรรมชาติที่มีปริมาณฟลูออไรด์มากกว่า 1 มิลลิกรัมต่อน้ำแร่ธรรมชาติ 1 ลิตร และต้องเพิ่มคำเตือน ผลิตภัณฑ์นี้ไม่เหมาะสำหรับทารกและเด็กอายุต่ำกว่า 7 ปี สำหรับน้ำแร่ที่มีฟลูออไรด์มากกว่า 2 มิลลิกรัมต่อน้ำแร่ธรรมชาติ 1 ลิตรต้องมีข้อความเป็นภาษาไทย มีลักษณะการปรากฏให้เห็นชัดเจนที่ภาชนะบรรจุมีใบสำคัญการขึ้นทะเบียนตำรับอาหาร หรือการใช้ฉลากอาหารตามประกาศกระทรวงสาธารณสุขฉบับที่ 146 (พ.ศ.2535) เรื่องน้ำแร่ ลงวันที่ 30 กันยายน พ.ศ.2535

ดูแลดวงตาให้สดใส

ดูแลดวงตาให้สดใส
ท่าที่ 1 ครอบดวงตา
โค้งอุ้งมือทั้งสองครอบดวงตาไว้เฉย ๆ ระวังอย่าให้อุ้งมือกดทับดวงตา
นึกถึงบรรยากาศที่ผ่อนคลาย เช่น วันพักผ่อนสุดสัปดาห์ตามป่าเขาหรือชายทะเล อยู่ในท่านี้สัก 10 นาที
ท่าที่ 2 สร้างจินตภาพ
ต่อจากท่าที่ 1 ยังคงครอบดวงตาอยู่ สร้างจินตภาพว่าตนเองกำลังมองวัตถุบางอย่างที่มีสีสันสดใส
มีรายละเอียดต่างๆ ที่ชัดเจน เช่น มองเห็นดอกเบญจมาศสีเหลืองสวย เห็นกลีบดอกแต่ละกลีบละเอียดชัดเจน สายตาที่คมชัดจากจินตนาการของเราเองจะช่วยเยียวยาสายตาจริงๆ ของเราได้เป็นอย่างดี
ท่าที่ 3 กวาดสายตา
มองแบบไม่ต้องจ้อง (คนสายตาสั้นมักจ้องและเขม้นตา) กวาดสายตาไปตามวัตถุที่อยู่ไกล ๆ ทางโน้นบ้างทางนี้บ้าง ทำให้ตาของเราได้ผ่อนคลาย
ท่าที่ 4 กะพริบตา
ฝึกนิสัยให้กะพริบตา 1-2 ครั้ง ทุก ๆ 10 วินาที ช่วยให้แก้วตาสะอาดและมีน้ำหล่อเลี้ยง
โดยเฉพาะคนที่สวมแว่นหรือคอนแท็กต์เลนส์ยิ่งจำเป็น
ท่าที่ 5 โฟกัสภาพใกล้และไกล
เหยียดแขนซ้ายไปให้ไกลที่สุด ตั้งนิ้วชี้มือซ้ายขึ้นเพื่อเป็นจุดโฟกัส ขณะเดียวกัน
ตั้งนิ้วชี้มือขวาให้ห่างจากใบหน้าสัก 3 นิ้ว (7.5 ซม.) โฟกัสภาพที่แต่ละนิ้วสลับกันไปมา ทำบ่อยๆ
เมื่อโอกาสอำนวย
ท่าที่ 6 ชโลมดวงตา
ตื่นนอนทุกเช้าใช้มือวักน้ำชโลมดวงตาด้วยน้ำอุ่น สัก 20 ครั้ง สลับกับการวักน้ำเย็นชโลมดวงตาอีก 20 ครั้ง ทั้งนี้เพื่อช่วยให้เลือดหมุนเวียนมาเลี้ยงดวงตาดีขึ้น การจบด้วยน้ำเย็น ทำให้กล้ามเนื้อตาและหนังตากระชับไม่หย่อนยาน ก่อนเข้านอนให้วักน้ำชโลมดวงตาอีกครั้งหนึ่ง แต่คราวนี้ชโลมด้วยน้ำเย็นก่อนแล้วตามด้วยน้ำอุ่น จะทำให้กล้ามเนื้อตาและหนังตาได้ผ่อนคลาย ก่อนเข้านอน
ท่าที่ 7 แกว่งตัว
ยืนแยกเท้าเท่ากับช่วงไหล่ แกว่งตัวไปมาจากซ้ายไปขวา ถ่ายน้ำหนักตัวบนขาแต่ละข้างสลับไปมา สายตามองไปไกลๆ แต่ไม่ต้องจ้อง ปล่อยให้จุดที่เรามองแกว่งไปมาซ้ายขวาตามการแกว่งตัว ท่านี้จะทำให้ดวงตาได้พักและมีการปรับตัวดีขึ้น ทำบ่อย ๆ เมื่อมีโอกาส เปิดเพลงคลอไปด้วยก็ได้
"วิธีของเบตส์" ได้รับการยืนยันจากจักษุแพทย์จำนวนมากว่าเป็นการฝึกดวงตา ที่เป็นระบบช่วยรักษาสายตาคนไข้ได้เป็นจำนวนมาก